“จิตตะ เวลธ์” จัดพอร์ตลงทุนครึ่งปีหลัง ชูเอเชียแกร่ง เปิดตัวแผนใหม่ลุย “หุ้นญี่ปุ่น”

HoonSmart.com>> “จิตตะ เวลธ์” มองแนวโน้มลงทุนครึ่งปีหลัง 65 ยังผันผวน ภาวะตลาดหมีและเศรษฐกิจถดถอยกดดันการลงทุนไปถึงปีหน้า ชี้นักลงทุนเลี่ยงความผันผวนจากฝั่งตะวันตก มาสู่เอเชีย โดยเฉพาะ จีน เวียดนาม และญี่ปุ่นที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่อง เล็ง “ญี่ปุ่น” ขุมทรัพย์การลงทุน หลังนโยบายเศรษฐกิจเริ่มส่งผลชัดเจน เปิดตัวแผนใหม่ “Jitta Ranking ญี่ปุ่น” ใช้ AI คัด 30 หุ้นดีราคาถูกมาจัดพอร์ต ลงทุนอัตโนมัติ ชูผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง 26.12% ต่อปี

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด สตาร์ตอัปสัญชาติไทยที่มีจำนวนกองทุน ส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยถึง ทิศทางการลงทุนครึ่งปี หลัง 2565 ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันให้อยู่ในช่วงขาลง จากภาพรวมเศรษฐกิจ โลกที่ยังชะลอตัว และนักลงทุนยังต้องเผชิญกับความผันผวน ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ไปแล้ว ด้วยดัชนีติดลบ ไปกว่า 20% ทั้งดัชนี NASDAQ ตามมาด้วย S&P500 ซึ่งคาดว่าภาวะตลาดหมีอาจจะ ลากยาวไปจนถึงปี 2566 เนื่องจากธนาคารกลาง สหรัฐฯ (Fed) จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ตลอดทั้งปี 2565 เพื่อดึงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมายในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าภาวะตลาดหมีและเศรษฐกิจถดถอยจะไม่ยืดเยื้อนานเกิน 24 เดือน

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และนโยบายการเงินของ Fed ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะเห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียมีความผันผวนน้อยกว่าและยัง โดดเด่นในสายตานักลงทุน เริ่มเห็นสัญญาณที่เม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้ามาลงทุน อย่างคึกคักมากขึ้น นำโดยจีน เวียดนาม และญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนของ ตลาดหุ้นฝั่งตะวันตก ที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอนเศรษฐกิจผันผวนและแนวโน้ม การเกิด Recession

“ตลาดหุ้นจีนเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 ราคาหุ้นปรับลดลงมา จนค่อนข้างถูกมากในปี 2565 เพราะหุ้นจีนรับรู้ข่าวเชิงลบมานานกว่า 1 ปี จึงมองว่าราคาหุ้นและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นจีนในปีนี้มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้ ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามทำผลงานโดดเด่นอย่างมากในช่วงปี 2563-2564 ดัชนี VNI ทำนิวไฮติดต่อกัน 4 ครั้ง จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับฐานได้ในปี 2565 โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับในอดีตจึงยังเป็นโอกาสที่ดีลงทุนใน สินทรัพย์อย่างหุ้นเวียดนามได้”นายตราวุทธิ์ กล่าว

นายตราวุทธิ์กล่าวอีกว่า อีกตลาดหุ้นที่มีโอกาสในสร้างกำไรที่ไม่มีใครเห็น แต่จิตตะ เวลธ์ มองเห็น คือตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีโอกาสเติบโต โดดเด่นจากคุณภาพของกิจการ และนักลงทุนไม่ควรพลาด ด้วยนโยบาย Abenomics ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ผู้ล่วงลับ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้ม ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีขุมทรัพย์ที่รอวันปะทุอย่างเงินออมของภาคครัวเรือนที่มีสัดส่วนการถือเงินสดและฝากเงินในธนาคารมากถึง 55% เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีเพียง 16% สะท้อนถึงสภาพคล่องในระบบการเงินที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการบริโภคใน ประเทศของญี่ปุ่นคิดเป็น 74.5% ของ GDP เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่ 82% ดังนั้นสัดส่วนเงินออมของครัวเรือนญี่ปุ่นที่สูงถึง 55% หากแบ่งไปที่การบริโภค และการลงทุนมากขึ้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะทะยานไปได้อีกไกลมาก

“นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจกำลังเห็นผล ญี่ปุ่นมีโอกาสหลุดจาก The Lost Decade กลับไปท็อปฟอร์ม และอย่างที่ทุกคนทราบ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพ สูง ธุรกิจค่อนข้างมั่นคง มีการพัฒนาด้านธรรมภิบาลต่อเนื่อง เราเห็นโอกาสการลงทุน ที่ยิ่งใหญ่มากในญี่ปุ่น และเป็นจังหวะที่ดี เพราะญี่ปุ่นมีหุ้นดีราคาถูก เป็นของ หายากหรือ Rare Item หนึ่งในตลาดหุ้นไม่กี่แห่งในโลกที่มีหุ้นคุณค่าเยอะมาก รายได้โตสูงและมีกำไรแข็งแกร่งมากในตลาดหุ้นเอเชีย”นายตราวุทธิ์ กล่าว

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ญี่ปุ่น แผนลงทุน ใหม่ที่ใช้ AI มาวิเคราะห์หุ้นมากกว่า 3,400 บริษัทเพื่อเลือกหุ้นดีราคาถูกจาก ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Tokyo Stock Exchange – TSE) มาจัดพอร์ตลงทุน 5-30 บริษัท ด้วยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิด ‘ลงทุนในกิจการที่ดี ในราคาที่เหมาะสม’ ของ Warren Buffett ช่วยให้นักลงทุนมี โอกาสลงทุนในหุ้นบริษัทญี่ปุ่นคุณภาพดีโดยตรง ผ่านการบริหาร กองทุนส่วนบุคคล ของจิตตะ เวลธ์ โดย Jitta Ranking ญี่ปุ่น จะมีการปรับพอร์ตทุก 3 เดือน เงินลงทุน เริ่มต้น 1 ล้านบาท เพิ่มทุนครั้งละ 100,000 บาท

นายตราวุทธิ์ ยังได้ยกตัวอย่างหุ้น 5 บริษัทที่มีผลประกอบการ ที่โดดเด่น เข้าเกณฑ์หุ้นดีราคาถูกของ Jitta Ranking ญี่ปุ่น อุตสาหกรรมแรกอยู่ ในกลุ่มเฮลท์ แคร์ เช่น บริษัท Chugai Pharmaceutical บริษัท BML และบริษัท Takara Bio ถัดมาเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น CTI Engineering และอุตสาหกรรม เทคโนโลยีอย่าง System D โดยผลตอบแทนย้อนหลัง จากการจำลอง Back Test จัดพอร์ตลงทุนด้วยหุ้นญี่ปุ่น ใช้ AI วิเคราะห์และคัดสรรหุ้นเด่น พร้อมปรับพอร์ตทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 10 ปี (2555-2564) พบว่ามีผลตอบแทนเฉลี่ย 26.12% ต่อปี และคิดเป็นผลตอบแทนรวมสูงถึง 918.02%

“หลายคนอาจมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวไม่สูง แต่รู้หรือไม่ว่าหลายๆ บริษัทในญี่ปุ่นมีรายได้มาจากทั่วโลก เนื่องจากมีการลงทุนสร้างฐานการผลิต ในต่างประเทศ ทำให้บริษัทญี่ปุ่นไม่ได้พึ่งพารายได้จากในประเทศเพียงอย่างเดียว และญี่ปุ่นมีบริษัทน้อยใหญ่ที่อาจจะมีชื่อเสียงไม่เทียบเท่ากับ Toyota Panasonic หรือ Sony แต่กลับมีผลประกอบการที่น่าทึ่ง ดังนั้นจึงเป็นข้อได้เปรียบของระบบ AI ภายใต้การพัฒนาอัลกอริทึมที่จิตตะ เวลธ์ต่อยอดมาจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่จะค้นหาหุ้นดีราคาถูกมาจัดพอร์ตให้กับนักลงทุน”นายตราวุทธิ์ กล่าว

นอกเหนือจากกองทุนหุ้นญี่ปุ่นแล้ว อยู่ระหว่างศึกษาการออก Jitta Ranking ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีของจีน หลังจากราคาปรับตัวลดลงมาก ทำให้นักลงทุนหลายรายสนใจลงทุน โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะออกได้ทันปีนี้หรือไม่ จากปัจจุบัน Jitta Ranking มี 7 กลยุทธ์การลงทุน ซึ่งรวมหุ้นญี่ปุ่นที่กำลังเปิดตัวอยู่ในขณะนี้

นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน Jitta Wealth มี 3 นโยบายลงทุนผ่านหุ้นและ ETF ได้แก่ นโยบาย Global ETF นโยบาย Thematic และนโยบาย Jitta Ranking โดยใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ คุณภาพสินทรัพย์ และบริหารพอร์ตลงทุนอย่างมีวินัย เพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่ง Jitta Wealth เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนส่วนบุคคล มากที่สุดในไทย ด้วยจำนวน 63,000 บัญชีและมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ ประมาณ 15,000 ล้านบาท ณ เดือนมิ.ย.2565 นับจากเปิดให้บริการในปี 2562 โดยตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้ามีจำนวนเปิดบัญชีแตะ 1 ล้านบัญชี และมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต

“สำหรับวงเงินเปิดบัญชีลงทุนกับ Jitta Wealth มีวงเงินไม่สูงมาก เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมกำหนดวงเงินเปิดบัญชี 10-20 ล้านบาท สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล แต่ Jitta Wealth เริ่มต้นเงินลงทุนเพียง 1 ล้านบาททั้ง 3 นโยบายลงทุน และทยอยปรับลดวงเงินเปิดบัญชีเหลือ 5 หมื่นบาทในปัจจุบันและจะปรับลดลงเหลือ 1 หมื่นบาทในปีนี้หรือปีหน้า เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ในวงกว้าง สำหรับการลงทุนผ่านนโยบาย Global ETF ขณะที่ปัจจุบันนโยบายการลงทุน Jitta Ranking ได้รับความสนใจเปิดบัญชีลงทุนมากที่สุด”นายตราวุทธิ์ กล่าว