TTB-KKP โชว์กำไรพุ่งแรง Q2/65 รายได้โต ตั้งสำรองลด

HoonSmart.com>>ธนาคารพาณิชย์โชว์ผลงานไตรมาส 2/65 เจ๋ง “ทหารไทยธนชาต”ฟาดกำไร 3,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ตั้งสำรองฯ  4,382 ล้านบาท ลดลง 8.9% จากไตรมาสแรก   ส่วนธนาคารเกียรตินาคินภัทร กำไรสุทธิ 2,033 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นถึง 50.1%  รวมครึ่งปีมีกำไรสุทธิ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.1%  แรงขายหุ้น SCB-BBL ยังออกมาต่อเนื่อง 

ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิ 3,438 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.0356 บาท ดีขึ้นจำนวน 904 ล้านบาท หรือประมาณ 36% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,534 ล้านบาทหรือ 0.0263 บาทต่อหุ้น และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสแรกปีนี้

รวม 6 เดือนปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 6,633 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.0687 บาท เพิ่มขึ้น 1,317 ล้านบาท หรือประมาณ 25% จากที่มีกำไรสุทธิ 5,316 ล้านบาท เท่ากับ 0.0551 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

การดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 ได้แรงหนุนจากรายได้ดีขึ้นทั้งค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ส่วนรายได้ดอกเบี้ยคงที่ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2565 สินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.6% อยู่ที่จำนวน 1,393 พันล้านบาท จากทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย โดยสินเชื่อบรรษัทลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ลดลง 1.2% ส่วนใหญ่มาจากการชำระคืนของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจากการปรับกลุ่มลูกค้าใหม่ อย่างไรก็ดี สินเชื่อลูกค้ารายย่อยโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักอย่างสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวที่ 1.7% และ 1.7% ตามลำดับ ttb consumerจะเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในการขยายฐานสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตอย่างแข็งแกร่งและเริ่มส่งผลให้กลับมาเติบโตที่ 0.8% และ 0.7% ตามลำดับ

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ ส่งผลให้สำรองฯจำนวน 4,382 ล้านบาท ลดลง 8.9% จากไตรมาสแรก นอกจากนี้สินเชื่อขั้นที่ 3 (ด้อยคุณภาพ) ดีขึ้น อยู่ที่จำนวน 41,331 ล้านบาท ดีขึ้น เนื่องจากการเร่งแก้ปัญหา ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.63% ลดลงจาก 2.73% ในไตรมาส 1/2565 อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงตั้งสำรองในระดับที่สูงตามกรอบเป้าหมายของธนาคาร สอดคล้องกับทิศทางของธนาคารในการบริหารจัดการอย่างรอบคอบท่ามกลางสถานการณ์ที่ยัง
มีความไม่แน่นอน

ด้านธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) แจ้งว่า ในไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 2,033 ล้านบาท เท่ากับ 2.40 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นถึง 50.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,354 ล้านบาท หรือ 1.60 บาท รวมครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 4,089 ล้านบาท หรือ 4.83 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 45.1% จากกำไรสุทธิ 2,817 ล้านบาท หรือ 3.33 บาทต่อหุ้นในระยะเดียวกันปีก่อน

ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นโดยหลักมาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจการให้สินเชื่อตามการขยายตัวของสินเชื่อ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองยังคงปรับลดลงตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดี

” ในไตรมาส 2/2565 มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 18% จากสินเชื่อยังคงมีการขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อไปในประเภทที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและมีคุณภาพสินเชื่อที่ดี โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 สินเชื่อขยายตัว 9.7% จากสิ้นปี 2564 ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลงจากสภาวะ
ความไม่แน่นอนส่งผลให้ธุรกรรมทางด้านตลาดทุนชะลอตัวลง ทั้งนี้ บล. เกียรตินาคินภัทร ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับที่ 1 ระดับ 18.18%”

ส่วนกำไรงวดครึ่งแรกปี 2565 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 672 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 15.1% ตามตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดี ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.2% ภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนทางด้านตลาดทุน ในส่วนของผลขาดทุนด้านเดรดิตปรับลดลงหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามคุณภาพสินเชื่อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) รายงานว่า  ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มีสาขา 4 แห่งในเมียนมา ในขณะที่  SCB ตั้งธนาคารแห่งหนึ่งในเมียนมา ซึ่งทั้งสองธนาคารอาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายห้ามชำระหนี้ มากกว่า KBANK  ซึ่งหยุดการดำเนินงานสำนักตัวแทนในเมียนมามาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว

การซื้อขายหุ้นวันที่ 20 ก.ค. 2565  ดัชนีปิดที่ระดับ 1,539.32 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด หรือ +0.38% มูลค่าซื้อขาย 57,500 ล้านบาท สถาบันไทยขายสุทธิ 1,567.46 ล้านบาท  นักลงทุนต่างชาติขาย 605.82 ล้านบาท

กลุ่มธนาคารยังคงตกเป็นเป้าหมายขาย  โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่  SCB เปิดสูง 92.25 บาท ก่อนลงไปต่ำสุดแตะ 90 บาท และปิดที่ 90.75 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 3,098.88 ล้านบาท BBL ปิดที่ระดับต่ำสุด 127 บาท -1.50 บาทหรือ -1.17% มูลค่าซื้อขาย 1,238 ล้านบาท ส่วน KBANK ระหว่างวันร่วงลงไปต่ำสุด 138.50 บาท สุดท้ายปิดที่ 139.50 บาทบวก 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,757 ล้านบาท และ TTB ปิดที่ 1.14 บาท +0.01 บาท

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้รีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ แต่หุ้นไทยปรับขึ้นได้น้อยกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะตัวที่ทำให้อ่อนแอกว่า จากเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค จากที่ไทยยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ประเทศอื่นได้ปรับขึ้นไปกันบ้างแล้ว อย่างสิงคโปร์ เป็นต้น เงินบาทอ่อนค่าจึงเป็นปัจจัยที่กดดันเงินทุนไหลเข้า ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิด้วย อีกทั้งยังมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจถ่วงด้วย

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร, การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีขึ้นในวันที่ 19-22 ก.ค., ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ก.ค.นี้ ซึ่งตลาดคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% หวังช่วยบรรเทาการอ่อนค่าของเงินยูโร

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 21 ก.ค.2565 ตลาดคงจะแกว่งไซด์เวย์ โดยมีแนวรับ 1,530 จุด แนวต้าน 1,550 จุด