HoonSmart.com>>หุ้น BLESS เปิดเทรดวันแรกที่ 1.56 บาท เหนือจอง 11.43% โบรกฯให้ราคาเป้าหมายปี 66 ในช่วง 1.50-1.62 บาท คาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ปี 2564-2566 (CAGR) ร้อยละ 25.5-26.0 ต่อปี ความน่าสนใจของ BLESS โครงการมีความหลากหลาย, ผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯมานานกว่า 20 ปี, แนวโน้มผลการดำเนินงานโตต่อเนื่อง
หุ้น BLESS เปิดเทรดวันแรกที่ 1.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ +11.43% จากราคาขาย IPO ที่ 1.40 บาท/หุ้น
บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดจำหน่ายฯหุ้นบริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) ประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 1.50 บาท คาดผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้า +26% CAGR จากการเน้นขายและโอนโครงการเดิม บวกกับแผนเปิดโครงการใหม่
BLESS ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบระดับ Mid-to-Low เป็นหลัก และพัฒนาคอนโด Low Rise 1 แห่ง มีแบรนด์ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม เน้นการออกแบบฟังก์ชันตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสูงสุด ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพในกทม.และปริมณฑล ในราคาที่เหมาะสม พร้อมขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ของผู้บริหารในแวดวงอสังหาฯที่มีมานานกว่า 20 ปี ปัจจัยการเติบโตมาจากตลาดแนวราบที่ยังแข็งแกร่ง รวมถึงได้อานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐและการผ่อนคลาย LTV
บล.ทรีนีตี้ ประเมินมูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 2566 ที่ 1.53-1.62 บาท อ้างอิงวิธี P/E 8.5-9.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Forward PE เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน โดยประมาณการรายได้และกำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ปี 2564-2566 (CAGR) ร้อยละ 25.5 ต่อปี และกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 34.2 ต่อปี เติบโตในอัตราเร่งที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้
ความน่าสนใจในการลงทุน BLESS 1.โครงการมีความหลากหลาย ทั้งคอนโด ทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยวบนพื้นที่ศักยภาพ กระจายบริเวณกรุงเทพชั้นนอกและปริมณฑล สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกความต้องการ โดยที่มีโครงการใน Inventory มูลค่ากว่า 3,117 ล้านบาท และมีโครงการบ้านเดี่ยวที่กำลังจะเปิดตัวใหม่ มูลค่า 770 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการของ BLESS สร้างด้วยระบบ Wall Form ที่มีความแข็งแรงและรวดเร็ว
2.ยังคงเน้นโครงการแนวราบ โดย BLESS มี Proven Track record จากโครงการที่พัฒนาทั้งหมด 15 โครงการ ปิดการขายแล้ว 6 โครงการ และอยู่ระหว่างพัฒนา 9 โครงการ โดยหลังการ IPO คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ราว 2-3 โครงการต่อปี โดยยังคงเน้นโครงการแนวราบ เนื่องจากเป็นโครงการที่มี Demand สูง มีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้ชีวิตแบบ New normal และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
3.ผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 20 ปี เชี่ยวชาญด้านการควบคุมการก่อสร้างและพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่สูงกว่าร้อยละ 30
4.แนวโน้มผลการดำเนินงานการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 จำนวน 107 ล้านบาท และ 144 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 34.2 ต่อปี คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขายร้อยละ 10.3 และ 11.4 ตามลำดับ ปัจจัยหนุนจากโครงการพร้อมขายและการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ที่คาดจะสามารถทำยอดขายได้ดี และมีที่ดินรอการพัฒนาอีกกว่า 488 ล้านบาท