บล.ดีบีเอสแจก 8 ธีม หากำไร ‘โนมูระ’ ชวนเพิ่มพอร์ตลงทุน 5%

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯมองข่าวสารทั่วโลกหมุนเร็วยุคไฮเทค ทำตลาดหุ้นผันผวนสูง วงจรลงทุนสั้นลง ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ แจก 8 ธีม  เข้า-ออกให้ถูกจังหวะ ถือยาวได้กำไรยากขึ้น  หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีนี้เหลือ 1,680 จุด ลุ้นผลตอบแทน 9% ดอกเบี้ยไทย-สหรัฐต่างกัน 2.25 % กดดันเงินไหลออก  โนมูระฯแนะพอร์ตลงทุน เพิ่มน้ำหนัก 5% ดัชนีลงถึงเป้าแรก 1,550-1,530 คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง ค่าเงินบาทปิดที่ 36.07 อ่อนสุดรอบ 6 ปีครึ่ง 

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานเสวนา “ปรับพอร์ต รับวิกฤตหุ้นครึ่งปีหลัง”กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนภายใต้ธีมสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเร็ว Thematic Strategies ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้การเผยแพร่ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ใครที่ได้รับข้อมูลและแปรเปลี่ยนไปเป็นกลยุทธการลงทุนได้จะเป็นผู้ชนะ ทำให้วงจรการลงทุนจะสั้นลง ผันผวนสูงกว่าอดีต การถือหุ้นลงทุนระยะยาวจะได้รับผลตอบแทนที่ยากขึ้น จึงแนะนำการลงทุน 8 ธีม เช่น ค่าเงินบาทอ่อนมีผลดีต่อหุ้นส่งออกโดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลน แต่อิเล็กทรอนิกส์ และตลาดหุ้นไม่ชอบ เงินไหลออก

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.ดีบีเอสฯปรับลดเป้าหมายดัชนีปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1,680 จุด คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 9% จากดัชนีในขณะนี้ที่ประมาณ 1,542 จุด คาดกำไรต่อหุ้นของบจ.เติบโตเพียง 4% แต่หากไม่รวมกำไรของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะเติบโต 14%

การลงทุนในเดือนก.ค.ยังมีปัจจัยลบ จากความกังวลเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจถดถอย แต่ดัชนีปรับตัวลงมาก จึงให้น้ำหนักเท่ากับตลาด กลยุทธ์เน้นหุ้นพื้นฐานดี ธุรกิจน่าจะถึงจุดต่ำสุด มีกำไร ราคาหุ้นยังไม่เต็มมูลค่า เมื่อวิกฤตคลี่คลาย ราคาก็จะกลับมา แต่ไม่ต้องรีบซื้อทั้งหมด ให้เข้าในลักษณะทยอยรับ เพราะยังมีปัจจัยไม่แน่นอนอยู่มาก  และคาดเงินทุนยังไหลออก

“เราคาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ๆละ 0.25% อยู่ที่ 1.25% และคาดเฟดปรับขึ้น 7 ครั้ง แบ่งเป็นเพิ่ม 0.25% 2 ครั้ง เพิ่ม 0.50% 3 ครั้ง และ 0.75% อีก 2 ครั้ง ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.50 % ถึงสิ้นปีส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐกว้างถึง 2.25% ทำให้ต้องระวังเงินทุนไหลออก และค่าเงินบาทอ่อนตัว แม้ระยะสั้นมีโอกาสแข็งตัวบ้าง เงินไหลเข้าบางส่วนจะได้รับการชดเชยจากภาคบริการและท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวก็ตาม คาดเข้ามาเดือนละ 7 แสนคน มีการใช้จ่าย 500 ล้านเหรียญ”นางอาภาภรณ์กล่าว

นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ กล่าวว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดเงินเฟ้อที่สูง จนเศรษฐกิจถดถอย ในตลาดหุ้นสหรัฐมีการปรับลดคาดการณ์กำไรบจ.ทุกวันอย่างต่อเนื่อง แนะนำลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นในประเทศกำลังพัฒนา เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีน และหุ้นญี่ปุน ทุกครั้งที่เงินเยนอ่อนค่า ตลาดหุ้นจะดี เพราะฐานธุรกิจกระจายไปทั่วโลก เวลาโอนรายได้กลับประเทศ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น และมูลค่าหุ้นถูกมาก ยีลด์แกปต่างจากต่างประเทศ ส่วนตลาดพันธบัตรรับการปรับการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เน้นที่มีคุณภาพ

บล.โนมูระ พัฒนสิน ปรับคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายของกนง.เพิ่มขึ้นเป็น 4 ครั้งจาก 2 ครั้ง แบ่งเป็น 3 ครั้งในปีนี้และอีก 0.25% ต้นปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยอยู่ที่  1.50%

กลยุทธ์เลือกหุ้น SCGP, INTUCH, CPF คาดตลาด Sideways/Down” ให้แนวต้าน 1551/1559 จุด แนวรับ 1531/1523 จุด ประเด็นที่มีผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะนี้ยังอยู่ที่เรื่องความกังวลเศรษฐกิจถดถอย Bond Yield 2 ปี/10 ปีที่กลับมาเป็น Inverted Yield Curve Yield คือ 10 ปีอยู่ที่  2.805% ต่ำกว่า 2 ปีที่ 2.818% สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจถดถอย

สำหรับระยะสั้น พอร์ตลงทุนให้เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยราว 5% สู่ระดับ 55%-60% หลังตลาดปรับฐานสู่โซนเพิ่มน้ำหนักแรกที่กำหนดไว้ 1,550-1,530 จุด และเพิ่มน้ำหนักถัดไปอีก 10% ที่บริเวณ 1,510-1,480 จุด

บล.หยวนต้าคาดเงินเฟ้อของไทยจะผ่านจุดสูงสุดได้ในไตรมาสที่ 3/2565 เป็นแรงผลักดันให้กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 10 ส.ค. คาด +0.25% กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อจำกัด ยังเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด เช่น ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก การแพทย์ สื่อสาร สินค้าและ อุปโภคบริโภค เช่น KBANK, BBL, CPALL, BDMS, BCH, CBG, ADVANC

ด้านตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 ก.ค.2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,541.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.49 จุด หรือ +0.03% มูลค่าซื้อขาย 72,117.55 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,285.53 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทปิด 36.07 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดรอบ 6 ปีครึ่ง

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นผันผวนจากไม่มีปัจจัยใหม่ รวมถึงมีความกังวลโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และในประเทศก็ยังเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตลาดได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ร่วงแรง ขณะที่หุ้นที่ฟื้นตัวเป็นหุ้นที่ได้รับผลดีจากราคาพลังงานลดลง ซึ่งก็เป็นหุ้น Defensive อย่างหุ้นในกลุ่มสื่อสาร, กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดฯยังมีความเปราะบาง จากผลประกอบการงวดไตรมาส 2/65 ของบริษัทจดทะเบียน จะมีบางกลุ่มออกมาแย่ และบางกลุ่มออกมาดี ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน ซึ่ง Downside รอบนี้มองไว้ที่ 1,480-1,520 จุด ช่วงสั้นหุ้นไทยยังเผชิญกับการปรับพอร์ตของนักลงทุน จากที่ประเมินหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าหุ้นโลก

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่ปรับตัวลงราว 1-2% ขณะที่ตลาดในยุโรปบวกราว 1% พร้อมให้ติดตามการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ทางสหรัฐฯจะยกเลิกหรือไม่ อย่างไร และติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่จะออกมาในวันศุกร์นี้ ประกอบกับติดตามเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันที่ 13 ก.ค.นี้

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 7 ก.ค.2565 ตลาดฯมีโอกาสปรับฐาน โดยมีแนวรับ 1,520 จุด แนวต้าน 1,545 จุด