TRUE จ่อขายหุ้นกู้ 1.7 หมื่นลบ.ใช้คืนหนี้ มีรอชำระ 5.98 หมื่นลบ.ใน1ปี

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ไม่เกิน 1.7 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ BBB+ คาดกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีฯ  6.1-6.5 หมื่นล้านบาท/ปี  เงินทุนดำเนินงาน 4.2-4.3 หมื่นล้านบาท/ปี ณ เดือนมี.ค. 65 มีหนี้ที่ปรับปรุงสุทธิ 4.1 แสนล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่  6.5-7 เท่า คาดหนี้อยู่ในระดับสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ทั้งหมดจะถูกโอนไปบริษัทใหม่ จากการควบรวม DTAC เสร็จ 

บริษัททริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1.7 หมื่นล้านบาท บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ BBB+ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมเดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัททั้งหมดยังคงอยู่ภายใต้ เครดิตพินิจ แนวโน้ม “บวก” โดยปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ BBB+ ส่วนอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนอยู่ที่ระดับ A-

อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทยที่มีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัทและความคาดหวังของทริสว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน

ทริสคาดการณ์โดยพิจารณาจากธุรกิจในปัจจุบันว่ารายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัทจะเติบโตเล็กน้อยในช่วงปี 2565-2567 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

“ทริสคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6.1-6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยจะมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 41%-43% ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงาน นั้นคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 4.2-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี”

ณ เดือนมี.ค. 2565 บริษัทมีหนี้ที่ปรับปรุงสุทธิอยู่ที่ประมาณ 4.1 แสนล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ  6.5 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดที่ 38% ทริสคาดว่าหนี้สินทางการเงินจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะยังคงอยู่ที่ระดับ 6.5-7 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ประมาณ 10%

ทริสประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ บริษัทมีหุ้นกู้และเงินกู้จากธนาคารที่จะครบกำหนดชำระในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 5.98 หมื่นล้านบาท คาดว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจแล้ว ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมได้

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ทริสประกาศ เครดิตพินิจ สำหรับอันดับเครดิตทั้งหมดที่กำหนดให้แก่บริษัท  เนื่องจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นลงแล้ว ทริสคาดว่าหนี้ทั้งหมดของบริษัทซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ที่จัดอันดับโดยทริสจะถูกโอนไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ หรือ NEWCO

แนวโน้มเครดิตพินิจ บวก นั้นสะท้อนถึงมุมมองของทริสที่ว่าบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้จะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของบริษัท จะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้ง สถานะทางการเงินน่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริสเคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของ NEWCO หลังจากการควบรวมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่าซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า

ทริสมองว่าการได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีความท้าทาย ทั้งนี้ ทริสจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นและได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการรวมกิจการต่ออันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยจะติดตามความคืบหน้าของการรวมกิจการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและพิจารณาอันดับเครดิตอย่างเหมาะสม