HoonSmart.com>>แบงก์ชาติปรับทิศทางการดำเนินมาตรการทางการเงินภายใต้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผลของสถาบันการเงินไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิประจำปี ปรับอัตราเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูกลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี ตั้งแต่ต้นปี 66 ขอให้โครงสร้างหนี้ เติมเงินใหม่ให้ผู้ประกอบการ ต่อเกณฑ์ผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำที่ 5% ถึงสิ้นปี 66 และที่ 8% ปี 67
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (30 มิ.ย.65) คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เห็นว่า เศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น แม้การฟื้นตัวยังไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ แต่ก็เริ่มส่งผลดีต่อสถานะของลูกหนี้หลายกลุ่ม ขณะที่ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงสะท้อนจากเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง ทำให้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่ผ่อนปรนและมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่ส่งผลเป็นวงกว้าง (broad-based) มีความจำเป็นลดลง และสามารถทยอยปรับเข้าสู่ระดับปกติได้ (policy normalization) โดยยังเน้นมาตรการเฉพาะจุด (targeted) เพื่อดูแลลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบาง ในการนี้ ธปท. จึงเห็นควรปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแล ดังนี้
1. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและฐานะของสถาบันการเงิน โดยยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผล จากเดิมที่จำกัดอัตราการจ่ายไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิประจำปี เนื่องจากผลการทดสอบระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) ชี้ว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่ง มีเงินกองทุนและเงินสำรองเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้า รวมทั้งผู้กำกับดูแลในต่างประเทศส่วนใหญ่ ก็ได้ยกเลิกนโยบายจำกัดการจ่ายเงินปันผลเพื่อดูแลเสถียรภาพของสถาบันการเงินในช่วงระบาดของโควิด 19 แล้ว ส่วนการจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ จะต้องอยู่ในหลักการของความระมัดระวังด้วย
2.ปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี ตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป จากที่เคยปรับลดลงเหลือ 0.23% ต่อปี สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น ซึ่งการที่สถาบันการเงินยังมีฐานะเข้มแข็ง ก็จะสามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของลูกหนี้ในระยะต่อไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการลดเงินนำส่ง FIDF และยังจะช่วยให้หนี้ของ FIDF ทยอยลดลงตามเป้าหมาย ไม่สร้างภาระต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินโดยไม่จำเป็นในระยะยาว ทั้งนี้ การนำส่งเงินเข้า FIDF ที่อัตรา 0.23 %ยังมีผลถึงสิ้นปี 2565 ดังนั้นสถาบันการเงินจะยังต้องให้ความสำคัญต่อการส่งผ่านต้นทุนในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันสถาบันการเงินต้องให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ด้วยมาตรการที่เฉพาะเจาะจง ทั้งการผลักดันผ่านมาตรการที่ยังมีผลอยู่ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้เดิมอย่างยั่งยืนแก่ผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนไปจนถึงสิ้นปี 2566 การเพิ่มสภาพคล่องภายใต้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ซึ่งจะสามารถใช้เม็ดเงินที่เหลืออยู่ได้จนถึงสิ้นเดือนเม.ย. 2566
นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลลูกหนี้รายย่อยที่มีความเปราะบาง อาทิ คงการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำที่ 5% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2566 และที่ 8% ในปี 2567 โดยให้กลับสู่เกณฑ์ปกติที่ 10% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป และคงการขยายระยะเวลาชำระหนี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่ 1 ปี ออกไปจนถึงสิ้นปี 2566 จากเกณฑ์ปกติที่กำหนดไว้ 6 เดือน เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้ และรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือนในกลุ่มเปราะบาง
พร้อมปรับปรุงโปรแกรมการจ่ายหนี้ของโครงการคลินิกแก้หนี้ เพิ่มทางเลือกในการผ่อนชำระ เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ที่ยังมีกำลังในการชำระหนี้สามารถจบหนี้ได้เร็วขึ้น หากเลือกแผนการชำระหนี้ที่มีระยะเวลาสั้น จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนขึ้น และเตรียมการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ธปท. คาดหวังว่าสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินจะยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแก้หนี้เดิมหรือเติมเงินใหม่ เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ความมั่นคงของสถาบันการเงินนั้น ธปท.พิจารณาจากอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 20% จากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% ซึ่งถือว่าสถาบันการเงินได้สะสมเงินกองทุนมาในระดับที่สูงมาก ส่วนอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ซึ่งสะสมไว้อย่างหนักในช่วงโควิดตั้งแต่ปี 2563 – 2564 ทำให้มีสูงถึง 165%
“มั่นใจว่าระบบสถาบันการเงิน มีกันชนเพียงพอรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจทยอยเสื่อมได้ และจากข้อมูลที่เรามอนิเตอร์มา พบว่ากลุ่มธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น” น.ส.สุวรรณีกล่าว