HoonSmart.com>>โบรกพร้อมใจแนะซื้อหุ้นโรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง ชี้ราคาเป้าหมายที่ระดับ 6 บาทต่อหุ้น ประเมินแนวโน้มธุรกิจใน Q2/65 สัญญาณดีต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งแรง คุมต้นทุนได้ดี รับอานิสงส์จากนโยบายเปิดประเทศ และโรงเรียนเปิดตามปกติ หนุนผู้ใช้บริการคึกคัก ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันจูงใจ มีค่าพีอีเรโชต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโรงพยาบาลขนาดกลาง และเล็กที่สูงถึง 20 เท่า
บล.ไอร่า ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ.โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรังหรือ WPH ให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 6 บาทต่อหุ้น เนื่องจากได้ประโยชน์จากเปิดประเทศ และโรงพยาบาลอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งโรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง (WPH) ปัจจุบันมีโรงพยาบาล ในเครือ 2 แห่งที่ จ.ตรัง และ อ่าวนาง จ.กระบี่ สามารถรองรับผู้ป่วย IPD รวม 179 เตียง/วัน และ OPD รวม 1,200 คน/วัน อยู่ระหว่างการขยาย รพ. แห่งที่ 3 ที่ สมุย ขนาด 53 เตียง คาดจะเปิดให้บริการ Q4/65 – Q1/66 โดยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว คาดสามารถรองรับผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดประเทศ หลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย ทำให้ นักท่องเที่ยวต่างชาติดีขึ้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน ใน Q1/65 มีรายได้บริการ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก Q1/64 ซึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากทั้ง IPD (64%ของรายได้) และ OPD (36% ของ รายได้) เพิ่มขึ้น 113% และ 74% ขณะที่รายได้ดังกล่าวมาจากกลุ่มผู้ป่วย Covid-19 ประมาณ 36% และสัดส่วนรายได้ 68% มาจาก รพ.วัฒนเเพทย์ ตรัง ที่เหลือประมาณ 32% มาจาก รพ.วัฒนเเพทย์อ่าวนาง ซึ่งทางด้านความสามารถทำกำไร Q1/65 มี GPM เฉลี่ย 33% ดีขึ้น จาก 11% เมื่อ Q1/64 มาจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมกับสัดส่วนค่าใช้จ่ายและบริหาร ลดลง 7% ส่งผลให้ WPH มีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 15 ล้านบาท เมื่อ Q1/64
สำหรับแนวโน้มปี 2565 ผู้บริหาร WPH คาดรายได้โต 10% เป็น 1.35 พันล้านบาท ภายใต้สัดส่วน รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่คาดเพิ่มขึ้นจาก 1% เมื่อปี 2564 เป็น 10% ในปี 2565 พร้อมแผนเปิดศูนย์ Wellness และคาดผลประกอบการ รพ.วัฒนเเพทย์อ่าวนางฟื้นตัว และภายใต้ Net Profit Margin ประมาณ 15-17% เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิประมาณ 200-230 ล้านบาท หรือ 0.33-0.38 บาท และคาดเงินปันผล 0.13-0.15 บาท โดยประเมินภายใต้นโยบายไม่ต่ำกว่า 40%
คำแนะนำการลงทุน ราคาจูงใจ แนะนำซื้อ WPH ให้ราคาพื้นฐาน 6 บาท อิง P/E ปีนี้ที่ 6.45 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ ซึ่งอยู่ที่ 21 เท่า ซึ่งหากประเมิน P/E อิงการซื้อขายของกลุ่มฯ ที่ 20 เท่า
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่าคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท เนื่องจากได้ประโยชน์จากเปิดประเทศ และโรงพยาบาลอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว โดยมีกำไรสุทธิ Q1/65 เท่ากับ 57 ล้านบาท ดีขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 13 ล้านบาทใน Q1/64 โดยมี ปัจจัยหนุน คือ 1) รายได้การรักษาพยาบาลโต 97% จากงวดเดียวกันปีก่อนเป็น 326 ล้านบาท โดยรายได้เกี่ยวกับโควิดเพิ่มขึ้น 100%, คิดเป็น 36% ของรายได้รวม, 2) GPM สูงขึ้นเป็น 33.5% จาก 11.1% ใน Q1/64และ SGA/รายได้ลดสู่ 12% จาก 19% ใน Q1/64 เพราะมาร์จิ้นการรักษาโควิดสูง บริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้นและมี Economy of scale
โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ Q2/65 จะเติบโตแข็งแกร่งจากคนไข้ไทยเพิ่มขึ้น คนไข้ต่างชาติทยอยกลับเข้ามาแม้เป็น Low season (ใน Q1/64 มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติ 8% ของทั้งหมด) และแม้ว่ารายได้จากโควิดจะอ่อนลง แต่รายได้รวมยังเพิ่มขึ้นได้จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วน GPM คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อกำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายงวด Q2/65 จะดีขึ้นมากจากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 19 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมองแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า และผู้บริหารคาดว่าการให้บริการของ ร.พ.วัฒนแพทย์ สมุย จะคุ้มทุนทาง EBTIDA ในปีที่ 2 เพราะอยู่ในทำเลที่มีคนไข้ไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น นอกจากนี้กำลังศึกษาก่อสร้างร.พ.แห่งที่ 4 โดยจะอยู่ในพื้นที่ที่มี Synergy กับร.พ.ที่มีอยู่เดิมและเป็นทำเลที่มีนักท่องเที่ยว & สถานประกอบการธุรกิจจำนวนมาก
คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 4.40 บาท อิง P/E ปีนี้ที่ 15 เท่า ทั้งนี้ แม้กำไรสุทธิปี 2565 จะอ่อนลงเพราะการลดลงของรายได้โควิดที่มีมาร์จิ้นสูง แต่ในปี 2566-67 จะเติบโตได้ 4%/20% ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E ปีนี้เพียง 11 เท่า ขณะที่หุ้นกลุ่มร.พ.กลาง-เล็กอยู่ที่กว่า 20 เท่า คาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีนี้ 3%