นับหนึ่งไฟลิ่ง DTCENT ขาย 305 ล้านหุ้น เข้า SET ปีนี้

HoonSmart.com>>”ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์” เบอร์ 1 ให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 305 ล้านหุ้น พาร์ 0.50 บาท มีแผนเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มไอซีทีภายในปีนี้  ระดมทุนเพื่อลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center)

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์  ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ DTCENT ในวันที่ 24 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 2565 ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)

DTCENT ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการเช่าอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) รวมถึงระบบเทเลเมติกส์สำหรับยานพาหนะและซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานขนส่งอย่างครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาโครงการไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) ที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งในภาครัฐบาล และในภาคเอกชน

ทั้งนี้ DTCENT มีบริษัทย่อยจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วิศวกรรม ซอฟต์แวร์  (WS) บริษัท ไทย ดิจิทัลแมพ จำกัด (TDM) และบริษัท ดี คอร์ ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์  (DCORE) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน  90.00%  95.00% และ 90.00% ตามลำดับ

นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ รองรับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม GPS โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนม.ค. 2565) ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ ความสามารถ และความพร้อมของบุคลากรในการขยายหรือพัฒนาธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นจากพันธมิตรขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ที่ต้องการเข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) เพื่อขยายธุรกิจและเติบโตไปด้วยกัน

สำหรับพันธมิตรของบริษัท ได้แก่ บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) และบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) โดยในความร่วมมือกับ YES ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น จะช่วยส่งเสริมให้กลุ่มบริษัทฯ ได้รับโอกาสในการขยายตลาดไปสู่ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น โดยมีการเตรียมความพร้อมที่จะผลักดันให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ สำหรับการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ BRS จะทำให้เพิ่มศักยภาพให้แก่บริษัทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์

นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้วกลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT อันประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT

สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2562 – 2564 และงวด 3 เดือน ปี 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 810.94 ล้านบาท 639.38 ล้านบาท 591.53 ล้านบาทและ 156.23 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้หลักมาจากรายได้จากการให้บริการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ  จะเติบโตสอดคล้องกับจำนวนฐานลูกค้าที่ใช้บริการอุปกรณ์ติดตามยาพาหนะ (GPS Tracking) ของกลุ่มบริษัท ในส่วนกำไรสุทธิในปี 2562 – 2564 และงวด 3 เดือน ปี 2565 เท่ากับ 166.49 ล้านบาท 109.12 ล้านบาท 77.24 ล้านบาท และ 13.18 ล้านบาท ตามลำดับ