FINNOMENA เปิดตัว Guru Port ลงทุนตามกูรูชั้นนำผ่าน 3 พอร์ตรับมือตลาดผันผวน

HoonSmart.com>> “ฟินโนมีนา” มองลงทุนครึ่งปีหลังยังต้องระมัดระวัง ตลาดผันผวนสูง แนะลงทุนหุ้นไทย 10-20% ของพอร์ต ที่เหลือกระจายกลงทุนหุ้นต่างประเทศ ชูเวียดนามเด่น แนวโน้มเติบโต เลี่ยงลงทุนน้ำมันหลังราคาพุ่งแรงจากสงคราม ด้านตราสารหนี้ไทยและเอเชียน่าสนใจ พร้อมเปิดตัว Guru Port ลงทุนตาม 3 กูรูชั้นนำ เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนรับความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยขาขึ้น

นายกสิณ สุธรรมนัส CEO & Co-Founder บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา (FINNOMENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูงจากปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้าหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และหากเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลง ความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะยิ่งสูงขึ้น จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าเงินเฟ้อจะทำจุดสูงสุดในไตรมาส 3 นี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงและเพิ่มการตั้งรับในภาพรวมให้เหมาะสม เน้นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งในส่วนของหุ้นไทยแนะนำสัดส่วนลงทุนประมาณ 10-20% โดยเน้นหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง แข็งแกร่ง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกไปค่อนข้างมาก รวมทั้งสิ่งสำคัญคือเรายังไม่มีอินโนเวชั่นมากนัก ขณะที่หลายประเทศมีเศรษฐกิจสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกและมีแนวโน้มเติบโต จึงเน้นกระจายลงทุนไปต่างประเทศ

“เรามองตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตค่อนข้างมาก สัดส่วนลงทุนสัก 20% หรืออาจเลือกลงทุนแบบบ DCA ลงทุนแบบสม่ำเสมอ รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีหลังจากราคาปรับตัวลงมามากจากพี/อี 50 กว่าเท่า ตอนนี้เหลือ 20 ปลายๆ หรือ 30 เท่า ส่วนตลาดหุ้นยุโรปอาจต้องเลี่ยงลงทุน เนื่องจากพึ่งพาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติจากรัสเซียประมาณ 80-90% ส่วนน้ำมัน แนะเลี่ยงลงทุน เนื่องจากราคาปรับขึ้นมามากจากสงคราม หากสงครามยุติราคาอาจลดลงแรงได้ ซึ่งหากนักลงทุนมีอยู่ในพอร์ตควรขายล็อกกำไร เหลือแต่ต้นทุนที่ลงทุนติดพอร์ตไว้”นายกสิณ กล่าว

ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ยังต้องเลือกเป็นรายตัว และต้องระวังเรื่องของเครดิต หากบอนด์คุณภาพไม่ดี แต่ให้ผลตอบแทนสูงไม่แนะนำ ตอนนี้เริ่มเห็นผลตอบแทนตราสารหนี้ประมาณ 5-6% ซึ่งหลังจากนี้มองว่ากองทุนประเภทไฮยีลด์บอนด์ กองทุนที่ลงทุนหุ้นกู้เอกชนน่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น หลังอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศมองเอเชียน่าสนใจและเลี่ยงตราสารหนี้ยุโรปและสหรัฐฯ

นายกสิณ กล่าวว่า ล่าสุด ฟินโนมีนาได้นำเสนอ “Guru Port ลงทุนตามกูรูชั้นนำ” เพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนรับความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและเงินเฟ้อพุ่ง โดยร่วมมือกับกูรูด้านการลงทุน อย่าง Deepscope, BottomLiner และ MacroView นำแนวคิดที่โดดเด่นของแต่ละกูรูมาพัฒนาเป็นพอร์ตการลงทุนทางเลือกสำหรับการตัดสินใจของนักลงทุนในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวน ซึ่งแต่ละพอร์ตของทั้ง 3 กูรู จะมีความพิเศษและแตกต่างกันออกไป เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกตามความเหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

Guru Port – Growth Momentum AI (GMAI) โดย Deepscope: พอร์ตลงทุนที่เน้นการลงทุนในกองทุนที่ NAV เติบโตเร็วด้วย momentum ผ่านการคัดเลือกโดย AI จาก Deepscope ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนา AI สำหรับการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง 15% ต่อปี

Guru Port – Optimal Megatrend Opportunities (OMO) โดย BottomLiner: ลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นธีมเมกะเทรนด์ โดยปรับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ได้รับ ในระดับที่ควบคุมได้ ผลตอบแทนที่คาดหวัง 7-10% ต่อปี

Guru Port – MRI โดย MacroView: ลงทุนผ่านแนวทางการสแกนกองทุนด้วยปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI) ผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% ต่อปี

นายกสิณ กล่าวว่า ทั้ง 3 พอร์ตกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้น 5 แสนบาท โดยคาดหวังจะมีนักลงทุนเปิดบัญชี 200 รายต่อพอร์ต จากปัจจุบันมีจำนวนบัญชีทั้งหมดอยู่ที่ 2 แสนบัญชีต้นๆ ส่วนมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาทและคาดว่าสิ้นปีนี้อยู่แถว 4 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้มุ่งขยายมูลค่าสินทรัพย์ แต่ต้องการเห็นคนสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของ FINNOMENA มีผลกำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2564 กำไรเติบโตกว่า 497.77% จากปี 2563 ที่มีกำไร 4.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 29.6 ล้านบาท ขณะที่รายได้เติบโตจาก 159.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 466.35 ล้านบาท ในปี 2564 หรือ เพิ่มขึ้น 192.69%

“เผยอินไซต์คนรุ่นใหม่สนใจลงทุน”

ในครึ่งปีแรกพบว่า นักลงทุนเลิกกลัวตกรถ กลับมา Focus ที่ Valuation และมูลค่าที่แท้จริง รวมทั้งมีการจับจังหวะการลงทุนด้วยคำแนะนำของ FINNOMENA Tacticall Call และการลงทุนด้วยตัวเองมากขึ้น อีกทั้งมีวินัยการลงทุนมากขึ้นสะท้อนได้จากระบบ DCA ของ FINNOMENA มียอดเงินลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน

นอกจากนี้พบว่า 60% ของนักลงทุน FINNOMENA ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีและกลุ่มมนุษย์เงินเดือนมองหาช่องทางการลงทุนมากขึ้น ขณะที่บริษัทเอกชนก็เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี มีความเสี่ยงต่ำ

นายกสิณ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลของผู้ลงทุนบนแพลตฟอร์ม FINNOMENA พบว่าอาชีพที่สนใจลงทุนสูงสุด 52% เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมาเป็นธุรกิจส่วนตัว 12% และข้าราชการ 10% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจด้านการลงทุนของคนไทย ที่เน้นเป็นกลุ่มคนทำงานมากยิ่งขึ้น และโดยสัดส่วนอายุของนักลงทุนอายุ 30-39 ปี คิดเป็น 35% และอายุ 20-29 ปี คิดเป็น 28% บ่งบอกถึงภาพรวมของเทรนด์การลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยแผนการลงทุนยอดนิยมของคนไทยคือ การเลือกลงทุนด้วยตนเอง หรือแบบ DIY ที่มากถึง 40% รองลงมา 20% เป็นการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี และ 10% เป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายเงินเก็บ 1 ล้านบาท

ปัจจุบัน FINNOMENA มีพอร์ตการลงทุนแนะนำมากถึง 30 พอร์ต โดยพอร์ตหลักที่ได้รับความสนใจมากที่สุดและมีขนาดใหญ่สุด คือ พอร์ตแรกที่ตั้งขึ้นมาชื่อ GAR (GLOBAL ABSOLUTE RETURN) ลงทุนเพื่อสะสมมูลค่าในระยะยาว จัดพอร์ตแบบกระจายการลงทุนทั่วโลก ปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด และปีนี้พอร์ตที่ได้รับความสนใจ คือ พอร์ต All Balance จัดพอร์ตสมดุล สร้างผลตอบแทนระยะยาว รวมถึงพอร์ต GGG (Next-Generation Global Growth) เน้นลงทุนหุ้นเติบโตล้วนที่ได้รับความสนใจในปีนี้

ด้านดร.แอนดรูว์ สต๊อทซ์ นักวิเคราะห์และนักวิจัย ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินและการลงทุนมากว่า 20 ปี ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง A.Stotz Investment Research (ASIR) กล่าวว่า “โครงการ Guru Port ลงทุนตามกูรูชั้นนำ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2562 โดยพอร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ได้แก่ พอร์ต A.Stotz All-Weather Strategy ที่ตนได้ออกแบบและร่วมพัฒนากับทางฟินโนมีนา ซึ่งจากสำเร็จดังกล่าว นำมาสู่การร่วมกันออกแบบพอร์ตที่ 2 คือ All-Weather Alpha Focus ที่นักลงทุนให้ความสนใจร่วมลงทุนภายใต้คำแนะนำดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 2 พันกว่าล้านบาท และในเร็ว ๆ นี้ กำลังจะร่วมมือกันในการออกแบบพอร์ตการลงทุนที่ 3 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนอย่างเช่นทุกวันนี้