ไทยพาณิชย์เพิ่ม GDP ปีนี้โต 2.9% เตือนรับมือเฟดขึ้นดบ.7 ครั้งแตะ 3%

HoonSmart.com>>กลุ่มงาน EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับเป้าเศรษฐกิจปีนี้โต 2.9% จากเดิมคาดไว้ 2.7% ได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.4 ล้านคน หนุนภาคบริการ ผลผลิต-ราคาสินค้าเกษตรเพิ่ม ส่วนเป้าเงินเฟ้อ 5.9%  กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยไตรมาส 3  เฟดเร่งขึ้นรวม 7 ครั้งแตะ 3% สิ้นปี กดดันดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลก กระทบเศรษฐกิจโลกปี 66 ชะลอตัว จับตาเงินบาทอ่อนค่าถึง 34.50-35.50 บาทก่อนจะแข็งปลายปีแกว่งแถว  33.50-34.50 บาท 

นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า EIC ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2565 ขึ้นเป็น 2.9% จากเดิม 2.7% ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 7.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดไว้จำนวน  5.7 ล้านคน

นอกจากนี้ภาคเกษตรจะมีส่วนช่วยสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ ผลผลิตมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรขยายตัวตามทิศทางราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามในยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากชาติตะวันตก

ส่วนการใช้จ่ายก็ดีขึ้น  ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ รวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่วนอุปสงค์คงค้าง  จากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อจะยังได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อเร่งตัวสูงสุดในรอบ 24 ปี ซึ่ง EIC คาดอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 5.9% และแนวโน้มการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลง ตามเศรษฐกิจโลก จากความเข้มงวดการดำเนินโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยขณะนี้เริ่มเห็นสถาบันต่างๆออกมาปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลง

“EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงมาอยู่ที่เติบโต 3.2% จากเดิมที่ 5.8% จากความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ปัญหาอุปทานคอขวดกลับมาแย่ลงและยืดเยื้อกว่าที่คาด ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะในภาคพลังงานและอาหาร ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และมาตรการการล็อกดาวน์และควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นจากนโยบาย Zero Covid ของจีน กระทบต่ออุปสงค์ ซ้ำเติมปัญหาอุปทานโลกเพิ่มเติม รวมทั้งการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางเศรษฐกิจหลักที่เร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเพิ่มความผันผวนในภาคการเงินโลก”

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย  EIC คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้ หรือรวมขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้งตลอดปี ครั้งละ 0.50% ใน 3 รอบการประชุมข้างหน้า ส่งผลให้กรอบบนอาจแตะระดับ 3% ภายในสิ้นปี รวมถึงเฟดได้เริ่มกระบวนการลดขนาดงบดุลลงแล้วในเดือน มิ.ย.นี้ด้วย ต้องติดตามการชะลอตัวลงพร้อมกันของกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน โดยเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความไม่สมดุลหลังวิกฤตโควิด และหลายเศรษฐกิจมีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) เพิ่มมากขึ้น

“ปัจจัยเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า มาจากผลของเงินเฟ้อพุ่งขึ้น และการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ได้เข้ามาสร้างความกังวลเข้ามามาก โดยเฉพาะการลงทุนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงแรงสะท้อนความกังวลการชะลอลงของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า และมองข้ามเรื่องเงินเฟ้อและดอกเบี้ยไปแล้ว” นายสมประวิณ กล่าว

ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)  EIC คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ 1 ครั้งในไตรมาส 3/2565 ในอัตรา 0.25% ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้เพิ้มขึ้นเป็น 0.75% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 0.25% ต่อปี เพื่อรอดูผลกระทบที่จะตามมาต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย โดย มองว่า กนง.จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพราะเศรษฐกิจเพิ่งเริ่มกลับมาฟื้นตัว  หากเร่งมากเกินไปจะทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่

ด้านแนวโน้มค่าเงินบาทมองว่าในระยะสั้นจะยังเผชิญแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในกรอบ 34.50-35.50 บาท/ดอลลาร์ แต่ก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายปี 2565 จากเศรษฐกิจฟื้นตัว และดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้นตามดุลภาคบริการที่กลับมาฟื้นตัวอย่างมาก ทำให้ประเมินค่าเงินบาทสิ้นปี 65 จะกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วง 33.50-34.50 บาท/ดอลลาร์ แต่อ่อนค่าลงจากประมาณการเดิมที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์ จากผลกระทบของเงินเฟ้อสหรัฐที่ทำให้เฟดต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า