หุ้น STP ปิดเทรดวันแรกที่ 18.80 บาท เหนือจอง 4.44%

HoonSmart.com>>หุ้น STP ปิดเทรดวันแรกที่ 18.80 บาท เหนือจอง 4.44% โบรกฯคาดปีนี้ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคที่มากขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลายลง และรับแรงหนุนจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตสูง ด้านอัตรากำไรคาดจะดีขึ้นเล็กน้อยจากการเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมให้ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 22.06 บาท

หุ้น STP ปิดเทรดวันแรกที่ 18.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ +4.44% จากราคาขาย IPO ที่ 18 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,805.58 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 20.00 บาท ขึ้นสูงสุด 22.10 บาท และต่ำสุด 18.40 บาท

บล.ทิสโก้ ประมาณการเบื้องต้นบริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) มีมูลค่าที่เหมาะสมในปี 2565 ที่ 22.06 บาท (อิงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน ที่ P/E 15.1 เท่า) จากคาดในปีนี้บริษัทได้รับแรงหนุนจากการบริโภคที่มากขึ้นตามการเริ่มใช้ชีวิตปกติของประชาชนหลังการระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลายลง และรับแรงหนุนจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตสูง (จากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น)

ด้านอัตรากำไรคาดจะดีขึ้นเล็กน้อยจากการเพิ่มกำลังการผลิต และไม่ต้องจ้างผลิตจากภายนอกในช่วงไตรมาสที่ 4 หลังแล้วเสร็จการขยายกำลังการผลิตตามแผน ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตราว 50% และหนุนผลการดำเนินงานของบริษัททั้งในด้านรายได้(จากความสามารถรับคำสั่งซื้อได้มากขึ้น) และอัตรากำไร(จาก Economy of scale) ต่อเนื่องในปี 2566 จากการรับรู้กำลังการผลิตเต็มปี สำหรับความเสี่ยงที่ต้องระวังคือราคาต้นทุนกระดาษที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด

STP ดำเนินธุรกิจโดยการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารคนและสัตว์ เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์ทั่วไป ด้วยระบบพิมพ์ออฟเซท (Offset Printing) แบบประกบฟูกและไม่ประกบฟูก ซึ่งบริษัทฯ จะดำเนินการผลิตตามแบบหรือตัวอย่างที่ลูกค้ากำหนดมา หรือออกแบบตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีบริการหลังการพิมพ์อื่นๆ เช่น การเคลือบยูวี การขัดเงา การเคลือบฟิลม์พลาสติก โดยฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเล คิดเป็นสัดส่วน 92% ของรายได้ในช่วง ไตรมาส 1/65

โครงการในอนาคต บริษัทฯมีแผนในการสร้างอาคารโรงงาน ขนาดพื้นที่ 5,300 ตารางเมตร ซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ในปี 2565 เพื่อใช้วางไลน์ผลิตและเป็นคลังสินค้าเพิ่มเติม และมีแผนในการขยายกำลังการผลิต ด้วยการซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตด้วยงบลงทุนประมาณ 290 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทฯได้อีกประมาณ 50% (ปัจจุบัน Utilization Rate ของกำลังการผลิตอยู่ที่ 99%) และคาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2565