KSL โชว์กำไร 415 ลบ. Q2/65 ทะยาน 305% รายได้ขายน้ำตาลพุ่งแรง

HoonSmart.com>> “น้ำตาลขอนแก่น” โชว์กำไรไตรมาส 2/65 กำไรสุทธิ 415 ล้านบาท เติบโตกว่า 305% กวาดรายได้รวม 4,192 ล้านบาท รายได้ขายน้ำตาลทรายและกากน้ำตาลทรายกว่า 3,510 ล้านบาท โต 106% ขายส่งออกพุ่ง ราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

บริษัท น้ำตาลขอนแก่น (KSL) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.2565) มีกำไรสุทธิ 415.15 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.094 บาท เพิ่มขึ้น 305.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 102.47 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.023 บาท

ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2565 กำไรสุทธิ 747.22 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.169 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 411.03 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.093 บาท

ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการจำนวน 4,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,965 ล้านบาทจากไตรมาส 2/2564 โดยมีรายได้จากการขายน้ำตาลทรายและกากน้ำตาลจำนวน 3,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,805 ล้านบาท หรือ 106% เมื่อเทียบงวดไตรมาส 2/2564 สาเหตุหลักจากปริมาณการขายน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับราคาขายส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ ปริมาณการขายน้ำตาลในไตรมาส 2/2565 มีจำนวน 191,171 ตัน เพิ่มขึ้น 99% และราคาขายน้ำตาลโลกรวมทุกช่องทางการจำหน่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตรา 7% เป็นผลมาจากราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2565 สัดส่วนปริมาณขายน้ำตาลส่งออกต่างประเทศ คิดเป็น 69% ของปริมาณขายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าไตรมาส 2/2564 ที่มีสัดส่วนขายส่งออก 28%

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 316 ล้านบาท เป็น 377 ล้านบาท หรือ 19% สาเหตุหลักจากปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และมีรายได้ขากธุรกิจสนับสนุนเพิ่มขึ้น 98 ล้านบาท หรือ 58% สาเหตุหลักจากชาวไร่มีกิจกรรมเพิ่มผลผลิตอ้อยในฤดูกาลเพาะปลูกหน้า

กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 377 ล้านบาท เป็น 662 ล้านบาท หรือ 76% และอัครากำไรขั้นต้นลดลงจาก 17% เป็น 16% เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น แม้ว่าราคาขายน้ำตาลโดยเฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบก็ปรับสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งราคาอ้อยที่ใช้ในการผลิตน้ำตาลและราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า

บริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 62 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 58 ล้านบาท เกิดจากการที่บริษัทร่วมหรือ บริษัท บีบีจีไอ (BBGI) ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ ซึ่งมีผลให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นใน BBGI ลดลงจาก 40% เป็น 28.02% (ณ 30 เม.ย.2565 บริษัทมีสัดส่วนถือหุ้น BBGI อัตรา 29.88% จาการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างงวด)

ด้านต้นทุนจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 52 ล้านบาท เป็น 111 ล้านบาท หรือ 113% จากค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายจากการขายส่งออกที่เกิดจากปริมาณขายส่งออกเพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง 11 ล้านบาท หรือ 7% สาเหตุหลักจากหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงจากการเก็บหนี้จากชาวไร่