ส่งออกเม.ย.ไปจีน-ยุโรปเริ่มสะดุด ไทยพาณิชย์ชี้แนวโน้มโตชะลอลงต่อ

HoonSmart.com>>EIC ธนาคารไทยพาณิชย์เผยภาพรวมส่งออกไทยเดือนเม.ย. เริ่มแผ่ว โตเพียง 9.9% จากส่งไปจีนหดตัว -7.2% ครั้งแรกในรอบ 17 เดือน ผลจากมาตรการปิดเมือง และอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน หากหักส่งออกทองคำ เม.ย.โตต่ำสุดในรอบ 3 เดือน หมวดยานยนต์และคอมพิวเตอร์หดตัว ส่วนนำเข้าพุ่งแรง 21.5% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล คาดแนวโน้มส่งออกยังคงขยายตัวในอัตราชะลอลง   

EIC ธนาคารไทยพาณิชย์รายงาน โดยดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส และนายวิชาญ กุลาตี  นักวิเคราะห์  ว่า การส่งออกเดือนเม.ย.2565  ขยายตัว 9.9%YoY (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) ชะลอตัวลงมากจากเดือนก่อนหน้าที่ 19.5%YoY แม้เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แต่หากหักทองคำ การส่งออกในเดือนนี้จะขยายตัวได้ 8.9% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 9.5% เป็นที่น่าสังเกตว่าการส่งออกอาวุธไปญี่ปุ่นในเดือนนี้มีมูลค่ามากถึง 109.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวและไม่ได้สะท้อนภาพรวมการส่งออกของไทย

“เศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง จะส่งผลกระทบโดยตรงกับสินค้าส่งออกของไทยที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก รวมทั้งจะกระทบกับภาคการผลิตของไทยที่นำเข้าสินค้าจากจีน จากผลกระทบของการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในจีน”

ส่วนการพิจารณาการส่งออกรายตลาด พบว่าเกือบทุกตลาดล้วนมีแนวโน้มหดตัว ชะลอตัวลง หรือทรงตัว มีเพียงกลุ่ม CLMV และฮ่องกงที่เร่งตัวขึ้น โดยปัจจัยฉุดสำคัญ ได้แก่ การส่งออกไปจีนที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือนที่ -7.2% นอกจากนี้ การส่งออกไปยุโรป (EU28) ยังขยายตัวได้ต่ำที่สุดในรอบ 14 เดือน (0.0%) และการส่งออกไปรัสเซียและยูเครนยังคงหดตัวอย่างรุนแรงที่ -76.8% และ -94.9% ในขณะที่การส่งออกไปสวิตเซอร์แลนด์ยังขยายตัวได้สูงที่ 392.2% จากการส่งออกทองคำเป็นหลัก

ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าพบว่า แม้ส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ แต่มีบางหมวดสำคัญที่หดตัวหรือชะลอตัวลงโดย (1) สินค้าเกษตรขยายตัวได้ 3% โดยเฉพาะจากผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและข้าว แต่มีผลไม้และยางพาราเป็นปัจจัยฉุด (2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 22.8% โดยเฉพาะจากไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ น้ำตาลทราย และอาหารเลี้ยงสัตว์ (3) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 8.3% โดยเฉพาะจากอากาศยานฯ เหล็ก เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมและแผงวงจรไฟฟ้า แต่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยางเป็นปัจจัยฉุดสำคัญ และ (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงขยายตัว 39% โดยเฉพาะจากน้ำมันสำเร็จรูป

ด้านมูลค่านำเข้าในเดือนเม.ย. ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 21.5% ขยายตัวในเกือบทุกหมวดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (+99.3%) ที่ขยายตัวตามราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงจากผลของสงครามในยูเครน สินค้าทุน (+10.9%) สินค้าอุปโภคบริโภค (+1.2%) และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (+11.7%) ยกเว้นสินค้ากลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (-25.2%) ทำให้ดุลการค้าขาดดุล -1,908.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม 4 เดือนแรกของปี  ขาดดุล -2,852.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากพิจารณามูลค่าการส่งออกหักทองคำ (ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนภาวะการค้าอย่างแท้จริง) เทียบกับเดือนมี.ค.แบบปรับผลของฤดูกาล การส่งออกไทยจะขยายตัวเพียง 2.8% (MoM) นับเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน และเริ่มสะท้อนถึงผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองในจีน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับแรงกดดันหลายปัจจัย ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องกดดันกำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคทั่วโลก กอปรกับสงครามในยูเครนและปัญหาชะงักชะงันของอุปทานและภาคขนส่งที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้การชะลอตัวของการส่งออกไทยสอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกของประเทศส่งออกสำคัญอื่นที่ชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน รวมถึงกับข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวลดลง และดัชนีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ (Export orders) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 หรือหดตัว สองเดือนติดต่อกัน

มาตรการปิดเมืองที่ยืดเยื้อและผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเริ่มส่งผลต่อส่งออกไทยทำให้การส่งออกไปจีนในเดือนเม.ย.หดตัวถึง -7.2% และหากหักทองคำแล้ว การส่งออกเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะหดตัวถึง -6.2% (MoM, SA) สอดคล้องกับตัวเลขดัชนี Manufacturing PMI ของจีนที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 26 เดือนที่ระดับ 46 โดยเป็นการหดตัวในกือบทุกสินค้าส่งออกไปตลาดจีน นำโดยผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ยางพารา เป็นต้น ทั้งนี้ในระยะข้างหน้าหากสถานการณ์การระบาดและการใช้มาตรการปิดเมืองยังคงยืดเยื้อ กอปรกับภาวะทางเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอลงอาจส่งผลกระทบกับสินค้าส่งออกไทยหลายชนิดที่พึ่งพาจีนเป็นหลัก เช่น ผลไม้ และยางพารา

นอกจากนี้ การส่งออกไปยังยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจนขี้นจากภาวะสงคราม ในยูเครน โดยการส่งออกหักทองคำไปยุโรปหดตัว -2.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM, SA) แม้ยังทรงตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับตัวเลขดัชนี Manufacturing PMI ของยุโรปที่ชะลอลงมาอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือน สำหรับการส่งออกหักทองคำไปรัสเซียและยูเครนยังคงหดตัวต่อเนื่องในระดับสูง แต่ไม่ได้มีนัยต่อเศรษฐกิจไทยมากเนื่องจากเป็นตลาดส่งออกขนาดเล็กของไทย

สำหรับแนวโน้มส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2565 EIC ยังมองขยายตัวในอัตราชะลอลง โดยในช่วงไตรมาสแรกขยายตัวจากแรงหนุนด้านราคา 3.9% และจากด้านปริมาณ 11% แต่ในระยะถัดไปคาดปัจจัยด้านปริมาณมีแนวโน้มชะลอตัวจากอุปสงค์ตลาดโลกที่ลดลง เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบของภาวะสงครามและเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในการผลิตและส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ แต่จะได้รับแรงหนุนหลักจากราคาสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าพลังงานและอาหาร จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นและยืดเยื้อนานกว่าคาด

อย่างไรก็ตามการนำเข้าสินค้าจะขยายตัวในอัตราที่เร่งตัวกว่าจากปัจจัยด้านราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยเฉพาะน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องน้ำมัน ส่งผลให้ดุลการค้าปรับตัวลดลงและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่องในปีนี้

ทั้งนี้ EIC กำลังประเมินแนวโน้มการส่งออก และจะเผยแพร่ตัวเลขคาดการณ์ส่งออกและประมาณการภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้