กูรู เชียร์ TM เคาะราคาพื้นฐาน 3.46 บ.

HoonSmart.com>>บล.พาย เชียร์ “ซื้อ” TM เคาะราคาพื้นฐาน 3.46 บาท มองแนวโน้มผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ยกว่าปีละ 30%  ธุรกิจโครงการใหม่ผู้สูงวัย เป็น upside

บริษัทหลักทรัพย์ พาย ( PI) ออกบทวิเคราะห์ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท เทคโนเมดิคัล (TM ) ให้มูลค่าพื้นฐาน 3.46 บาท  อิง P/E ปี 2565 ที่ระดับ  23 เท่า  เทียบเท่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ด้วยมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการที่คาดจะโตเฉลี่ยกว่าปีละ 30% ใน 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) และ โอกาสให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 4%

ประเด็นสำคัญ:

– ธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จะพื้นตัวหลังโควิดชะลอลง
– ขยายช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ช่วยหนุนรายได้
– การเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ เกี่ยวกับสุขภาพ ช่วยขยายฐานลูกค้า
– ธุรกิจโครงการใหม่ สำหรับผู้สูงวัย จะเป็น  upside ในระยะถัดไป

ปัจจัยเสี่ยง:
• ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์ จะฟื้นตัวหลังโควิดชะลอ คาดว่า ธุรกิจขายกลุ่มอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง ยังเป็นปัจจัยหลัก ผลักดันการเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 11% และ 30% ตามลำดับ ช่วง 3 ปีข้างหน้า จากยอดขายอุปกรณ์การผ่าตัดที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลรัฐ เอกชน และคลีนิก ตามจำนวนเคสผ่าตัดที่เพิ่มขึ้น หลังโควิด-19 คลี่คลาย โรงพยาบาลกลับมาผ่าตัดตามปกติ

เป้าหมายใหม่จะช่วยผลักดันการเติบโต

TM ตั้งเป้าหมายเติบโตของรายได้อีก 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) ระดับ 1,000 ล้านบาท ภายใต้การขับเคลื่อน 3 กลยุทธิ์ ดังนี้

1.ขยายช่องทางการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ TM CARE SHOP ”

2 การเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ เกี่ยวกับสุขภาพ TM Herb และ

3. ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ  THE PARENTS แม้ค่อนข้างท้าทาย แต่มีความเป็นไปได้

ประมาณการรายได้ 922 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น จาก 674 ล้านบาท ในปี 2564  เมื่อพิจารณา ด้วยฐานรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา  แม้จะเกิดภาวะโควิดช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้ในห้องผ่าตัดมีชะลอตัวลง แต่บริษัทมีความสามารถปรับตัวสูง  หาอุปกรณ์ประเภทอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจโควิด มาทดแทนจนทำให้รายได้ปีที่ผ่านมาทรงตัว ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด รวมถึงแสดงถึงการมีฐานลูกค้าโรงพยาบาลที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายตัวของยอดขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องประเภทต่างๆ

ขยายช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์จะช่วยหนุนรายได้

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทของบริษัทในการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “TM CARE SHOP” ทั้งในเว็บไซต์บริษัท Facebook และ Line รวมไปถึงแอพพลิเคชั่น Lazada ที่กำลังดำเนินการอยู่ เนื่องจาก 1. สถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น โดยในปี 21 ที่ผ่านมาตลาด eCommerce ในไทยได้เติบโตถึง 21% YoY

2. การขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ยังส่งผลให้บริษัทสามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น (B2C) จากเดิมที่เป็นกลุ่มลูกค้า B2B

3.การขายสินค้าผ่าน Online จะช่วยหนุน GPM ของบริษัทได้ในระยะยาว เนื่องจากการขายสินค้าผ่านช่องทางซึ่งเป็นการขายปลีกผ่านลูกค้ารายย่อยเป็นหลักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าการขายส่งเดิม โดยเราคาดว่า กลยุทธ์เจาะกลุ่มตลาดออนไลน์ จะช่วยเพิ่มยอดขายในปี 22 ได้ราว 15 ล้านบาทและจะเติบโตเป็นสัดส่วนราว 7% ของรายได้รวม ใน 3 ปีข้างหน้า

การเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับสุขภาพจะช่วยขยายฐานลูกค้า

บริษัทได้เพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ “TM Herb” ซึ่งเป็นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เครื่องทำน้ำด่าง ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรในรูปแบบแคปซูล รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ โดยจะทยอยจำหน่ายทางเชิงพาณิชย์ ภายใต้ร้าน “TM CARE SHOP” ในช่วงไตรมาส 2/65

บริษัทฯ ยังวางแผนจ้างผลิตจำหน่าย (0EM) ภายใต้แบรนด์ TM เช่น สินค้าประเภทผลิตภัณฑ์เช็ดตัวสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและผ้าอ้อมผู้สูงอายุ ซึ่งเรามองว่าการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทจะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัท และเป็นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้ดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทใน 3-5 ปีข้างหน้า

ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุจะเป็น upside ในระยะถัดไป

บริษัทฯ ได้เล็งเห็นสัดส่วนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่งผลให้บริษัทเข้าสู่ธุรกิจใหม่เพื่อการดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้ โครงการ “THE PARENT” ด้วยงบลงทุนราว 500 ล้านบาท (รวมที่ดิน) โดย TM ถือหุ้นสัดส่วน 80% ทั้งในศูนย์

ดูแลผู้สูงอายุ และโรงพยาบาลเฉพาะทาง และเตรียมที่จะเปิดให้บริการในส่วนของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ภายในช่วงท้ายไตรมาส 4/65 และคาดว่าจะเปิดดำเนินการโรงพยาบาลเฉพาะทางได้เต็มรูปแบบในปี 2566

บริษัทฯ มีเป้าหมายผลักดันให้ THE PARENTS เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการให้บริการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจรทุกมิติ ส่งผลให้ “TM” รับรู้รายได้จาก THE PARENTS เข้ามาเฉลี่ย 100 – 150 ล้านต่อปี ราว 20% ของรายได้ปี 2564

เนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ และเป็นธุรกิจใหม่ที่ยังคงประเมินความสำเร็จได้ยาก เราจึงรอดูความชัดเจนและรายละเอียด เรื่องแผนการลงทุน การตลาด การขยายกิจการ ตลอดจนถึงอัตราผลตอบแทน จึงยังไม่รวมไว้ในประมาณการกำไร แต่เชื่อว่าเป็น Upside ต่อการปรับประมาณการกำไรและมูลค่าพื้นฐานในอนาคต

หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จและให้ผลตอบแทนเท่ากับ ROE ของบริษัท (เฉลี่ย 8% ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา) ธุรกิจนี้ควรมีกำไรสุทธิไม่ น้อยกว่าปีละ 40 ล้านบาทต่อปี (เงินลงทุน x ROE = 500×8%) หลังจากถึงจุดคุ้นทุน (ธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไปจะใช้เวลาคุ้มทุนไม่น้อยกว่า 1.8 ปี)

กำไรสุทธิไตรมาส1/65 ทรงตัวท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ 6 ล้านบาท (1,092% YOY, -14.7% QoQ)

กำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ทรงตัวใกล้เคียงไตรมาส 4/64 ผลจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเทียบสกุลดอลลาร์สหรัฐ กอปรกับต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้น กดดันอัตรากำไรขั้นต้นลงมาที่ 35.7% (-2.2ppt YoY, -0.2ppt QoQ) ขณะที่ยอดขายทรงตัว QoQ ที่ 154 ล้านบาท (+5%Yo/) บ่งบอกว่าธุรกิจหลักเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ แม้กำไรสุทธิคิดเป็นสัดสวนรวม 14% ของประมาณการกำไรทั้งปี แต่เชื่อว่าจะกลับมาเร่งตัวในช่วง 2H22 เนื่องจากเป็นช่วงเบิกจ่ายงบประมาณของโรงพยาบาลภาครัฐ ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของฐานรายได้บริษัท

อัปเดตภาพรวม

กำไรสุทธิทั้งปี2564  ของ TM อยู่ที่ 30 ล้านบาท (-25.7% YoY) นับว่าต่ำสุดตั้งแต่ 18 แต่ผู้บริหารยังเชื่อว่าทิศทางจะพลิกฟื้นขึ้นในปี 2665 จากการรับรู้สาเหตุต้นทุนที่สูงขึ้น โดยจะปรับการขายสินค้าโดยตรงกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการจ้างผลิตกับบริษัทจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศในอาเซียน เพื่อลดต้นทุนภาษีนำเข้า

เนื่องจากวอร์แรนต์ TM-W1 สามารถใช้สิทธิครั้งแรกช่วยปลายปี 2566 ดังนั้นผลกระทu Dilution Effect ต่อกำไรต่อหุ้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

ในกรณีเลวร้ายสุด หากผู้ถือ TM-W1 ใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้น TM ทั้งหมด จะเกิด Diution Effect ต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ราว 25% ในปี 2024 (คำนวณจาก 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่) หากในปีดังกล่าว ผลประกอบการเติบโตน้อยกว่า 25% จะมีโอกาสกระทบการประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับปีนั้น