KWM เคาะไอพีโอ 1.30 บาท ขาย 19 – 21 ก.ย.นี้

“เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค” กำหนดราคา IPO หุ้นละ 1.30 บาท ระดมทุน 156 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจและชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน “บล.เออีซี” ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ย้ำราคาไอพีโอเหมาะสม พี/อีต่ำกว่ากลุ่ม มั่นใจนักลงทุนตอบรับ เปิดจอง 19 – 21 ก.ย.นี้ คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 1 ต.ค.นี้ ชื่อย่อ “KWM”

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ KWM ในราคาหุ้นละ 1.30 บาท โดยมั่นใจหุ้น IPO ของ KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี กำหนดเปิดจองซื้อวันที่ 19 – 21 ก.ย.2561 โดยมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเข้าร่วมอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป , บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 1 ต.ค.2561 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KWM”

ทั้งนี้ KWM เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ซึ่งคิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสำมัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 115.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.50% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และเสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 4.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.07% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด

“ภาวะตลาดหุ้นขณะนี้เชื่อว่าเป็นผลบวกต่อ KWM เนื่องจากปัจจัยในประเทศเกื้อหนุนธุรกิจของบริษัทฯโดยตรง โดยการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 1.30 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 22.95 เท่า เมื่อคำนวณจากผลประกอบการรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2560 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2561 เปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ย ของหมวดสินค้าอุตสาหกรรมของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วง 12 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2560 ถึงวันที่ 31 ส.ค.2561 มีค่าเท่ากับ 28.76 เท่า ทั้งนี้คาดว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี เนื่องจากจำนวนหุ้นที่เสนอขายมีจำนวนเพียง 120 ล้านหุ้น มั่นใจว่าจะสามารถจำหน่ายหมดทั้งจำนวน” นายชนะชัย กล่าว

นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค ( KWM ) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร พร้อมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์การเกษตรด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า หลังจากระดมทุนแล้วบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการเติบโตให้บริษัทฯ โดย KWM มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีพื้นฐานเทคนิคด้านการเกษตร หากมีการพัฒนาที่ดีมองว่าอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตรในประเทศสามารถขยายตัวได้อีก นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งต่อสถาบันการเงิน คู่ค้าธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของรายได้ในอนาคต

“KWM กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.30 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งนักลงทุนจะได้มีส่วนลงทุนในบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี และถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทฯ โดยในปี 2561 แนวโน้มผลประกอบการของ KWM มีทิศทางในการเติบโตที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับปีนี้บริษัทฯ มีโปรดักส์ใหม่ คือ ใบผาลตัวใหญ่ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายของบริษัทฯให้เพิ่มขึ้น” นายเอกพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ หลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯได้แก่ กลุ่มวนโกสุม ถือหุ้น 71.79% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับรายได้รวมในปี 2558 – 2560 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเท่ากับ 263.23 ล้านบาท 275.59 ล้านบาท และ 260.48 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 27.80 ล้านบาท 35.78 ล้านบาท และ 20.83 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 22.50%, 25.53% และ 23.51% ตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิ 10.65%, 13.04% และ 8.12% ตามลำดับ และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2561 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 188.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.81% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 141.20 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.69 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.95% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2560 คิดเป็น 20.96%