โนมูระฯ-หยวนต้า ช่วยจัดพอร์ตหุ้น YLG ชวนซื้อทองแถว 1,800 ดอลล์

HoonSmart.com>>บล.โนมูระฯคาดระยะสั้นราคาสินทรัพย์เหวี่ยง 15-25% รอเฟดขึ้นดอกเบี้ย ถอนเงินออกจากระบบมิ.ย. หลังจากนั้นมองหุ้นไทยเด่น เศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นครึ่งปีหลัง ดึงดูดเงินไหลเข้า น่าสนใจหุ้น GFPT, CPF,KCE ,BDMS,ADVANC บล. หยวนต้าหั่นเป้ากำไรต่อหุ้นปีนี้เหลือ 88 บาทโต 5% ดัชนีสิ้นปี 1,650 จุด ชอบ KBANK, M, BA ,TOP  ด้าน YLG แนะลงทอง 5-10% ช่วยพอร์ตดูดี  ราคาลงเป็นจังหวะทยอยซื้อ

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัด LIVE SET-IAA Hot Issue หัวข้อ “Big change เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย การท่องเที่ยว และการเมือง: นักวิเคราะห์จะปรับคาดการณ์อย่างไรในหุ้น ทอง กองทุนนอก” โดยนายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โนมูระพัฒนสิน กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกรอบนี้ มีการฟื้นตัวไม่พร้อมกัน สหรัฐอเมริกาฟื้นตัวระดับกลาง ส่วนเอเชียเพิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสินทรัพย์ผันผวน จะเหวี่ยงประมาณ 15-25% และกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะแผ่วลง แต่ไม่ใช่จบรอบ

หุ้นไทยกลับแข็งแรงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ลงเพียง 8% เพราะเศรษฐกิจไตรมาส 1/2565 เติบโต 2.2% ดีกว่าที่คาดการณ์ว่าจะโตเพียง 1.8% โนมูระมองไตรมาส 2 โต 2.7% ครึ่งปีหลังจะเร่งขึ้น ไตรมาส 3 โต 5.7 และ 6.5%ในไตรมาสสุดท้าย  ผลจากการเปิดประเทศ ภาคท่องเที่ยวเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจเร่งตัว รวมถึงส่งออกโต  คาดปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 6.5-7 ล้านคน หลังจากไตรมาส 2 เข้ามา 0.9 ล้านคน ไตรมาส 3 จำนวน 2 ล้านคน และไตรมาส 4 คาด 3.1 ล้านคน หรือ 1ล้านคน/เดือน ซึ่งจะพลิกกลับมาดีต่อในปี 2566

“ในช่วง 1-2 เดือนนี้  ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงการหาฐาน ช่วงรอยต่อไตรมาส 2 และ 3 จะมีความผันผวนบ้าง ได้รับผลกระทบจากสหรัฐถอนเงินออกในเดือนมิ.ย. แต่คาดว่าไม่เกินเดือนก.ค. ตลาดจะกลับมามองเรื่องเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว โนมูระฯคาดว่าปีนี้โต 4.1% ปีหน้าคาดหวัง 5.8% จะทำให้ทิศทางเงินไหลเข้ามาระยะกลางถึงยาว ไทยมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 4 เพื่อลดช่องว่างส่วนต่างกับต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เงินไหลออก”นายกรภัทรกล่าว

ส่วนคำแนะนำการจัดพอร์ต ระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า ตลาดยังมีความผันผวน จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง เงินเฟ้อเร่งขึ้น ภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันขึ้น เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนวงจรดอกเบี้ยปรับขึ้น ตลาดรอปรับประมาณการ กลุ่มธนาคาร ประกัน ส่วนพลังงาน ปรับขึ้นประมาณการแล้ว ค่าเงินบาทอ่อน ส่งผลดีต่อส่งออกอาหาร ราคาหมูไก่กุ้ง แรงส่ง GFPT, CPF ดีในไตรมาสที่ 2 และ 3 ส่วน KCE หลังผิดหวังการผลิต แต่ความต้องการ EV ดี ส่งผลต่อไตรมาสที่ 3 กลุ่ม ไอซีที และสุขภาพ นักลงทุนสามารถมาพักเงินได้ ซึ่งกลุ่มการแพทย์ ได้แรงบวกจากผู้ป่วยต่างชาติที่เร่งตัวขึ้น น่าสนใจ BDMS และ ICT สนใจ ADVANC การเปิดเมือง หนุนกลุ่มค้าปลีก ขนส่ง และแบงก์  ขอให้นักลงทุนรอโอกาสซื้อ แต่การเลือกตัวไหนจะต้องพิจารณาราคาสะท้อนแล้วหรือยัง บางตัวได้ดีจากดอกเบี้ยขึ้น แต่ราคาขึ้นไปมากแล้ว

นายณัฐพล คำถาเครือ นักกลยุทธ์อาวุโส บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วง 6-12 เดือน กลุ่มที่ปรับตัวกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดี ได้แก่ แบงก์ อาหารเครื่องดื่ม ค้าปลีก ท่องเที่ยว บันเทิง และการแพทย์ ในทางกลับกันกลุ่มที่อ่อนไหว เช่น ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเงินบาทอ่อน เป็นบวกต่อกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วกว่าคาด กลุ่มบริการมาร์จิ้นดีกว่ากลุ่มการผลิต ทำให้ตลาดโดยรวมดีขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบ เรื่องต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ความต้องการสินค้าทั่วโลกลดลง ต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น คาดจะกระทบต่องบไตรมาส 2

นักกลยุทธ์อาวุโส บล. หยวนต้ามองว่าตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัว Consensus ประมาณการกำไรต่อหุ้นปีนี้อยู่ที่ 97 บาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ส่วนบล.หยวนต้า ปรับลดจากเดิม 92 บาท เหลือ 88 บาทหรือ โต 5% พี/อี 18.7 เท่า เป้าหมายดัชนีลดเหลือ 1,650 จุด จากเดิม 1,720 จุด คาดดัชนีฐานต่ำอยู่ที่
1,500-1,550 จุด ส่วนข้างบน 1,650-1,750 จุด ตัวเร่งขึ้นไปถึง 1,750 ได้ ขึ้นอยู่ท่องเที่ยวกลับมาเร็ว และการเลือกตั้งเกิดขึ้น กลุ่มหุ้นน่าสนใจ ค้าปลีก ท่องเที่ยว โรงกลั่น ได้แก่ KBANK, M, BA ,TOP

“ช่วงนี้แนะเพียงเทรดดิ้ง ตลาดซึมซับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยและลดคิวที 9.5 หมื่นล้านเหรียญ/เดือนของเฟดแล้ว ใกล้ระดับต่ำสุด หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ไม่มากถึง 0.75% น่าจะมีแรงซื้อกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย คำแนะนำในการจัดพอร์ต ให้ลงทุนหุ้น 30-40%  บอนด์ 30% และการลงทุนทางเลือก คาดว่าเดือนก.ค -ส.ค. มีความชัดเจน ถึงจะพอร์ตเพิ่ม เน้นหุ้นใหญ่ มากกว่าเล็กที่มีความอ่อนไหวเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า ถ้าสนใจลงทุนในกองทุน แนะกอง SET 50″นายณัฐพลกล่าว

น.ส. ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ กล่าวว่า ทองเริ่มลดลงมาตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา นักลงทุนซึมซับข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน  เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เดือนมี.ค. และ 0.50%  แต่ราคาในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ค่าเงินบาทอ่อน ปัจจุบันทองกำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ ธนาคารกลางหลายประเทศลดการพึ่งพาสกุลดอลลาร์ หันมาถือทองคำมากขึ้น ในปี 2563 ถือสัดส่วน 70% ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ค่อยๆ ลดลง  ล่าสุดในตรมาส 3 ปี 2564 ลดเหลือสัดส่วน 59%

นอกจากนี้รัสเซียในฐานะผู้ผลิตทองรายใหญ่ระดับ 3 ของโลก ยิ่งถูกคว่ำบาตร ยิ่งซื้อทอง ช่วงต้นปี 2014 ซื้อ 1,257.86 ตัน ถือเพิ่มถึง 2 เท่าจากระดับ 1,040.7 ตันเป็นระดับ 2,298.5 ตัน หรือประมาณ 20% ของทุนสำรอง

” ราคาทอง New All time High ที่ 2,075 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 2564 ส่วนปีนี้ขึ้นสูงสุด 2,069 ดอลลาร์ นับตั้งแต่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยและจะเริ่มใช้นโยบาย QT ทำให้ราคาลดลง จากสถิติราคาทองคำมักฟื้นตัวหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย 6 เดือน +11.34% ถ้า 1 ปี เพิ่มขึ้น  7.62%  แต่ก่อนปรับขึ้นดอกเบี้ย ลดลง-6.81%  แนวโน้มไม่หลุด 1817-1,676 ดอลลาร์หรือประมาณบาทละ 27,000 -26,500 บาท  และยังคงแนะนำมีทองคำในพอร์ต 5-10%เพื่อลดผลขขาดทุนของพอร์ต ไม่ควรลงทุนเพียงหุ้นอย่างเดียว ในช่วงนี้การลดลงของทองเป็นโอกาสในการซื้อสะสม  ถ้าต่ำกว่า 1,800  ดอลลาร์หรือ  27,000 บาท แนะนำทยอยสะสม”น.ส. ฐิภากล่าว