“สันติ ปิยะทัต” หุ้นใหญ่ KC ยันกอดหุ้นแน่น หลังกลับมาเทรด 19 พ.ค.นี้

HoonSmart.com>> ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ “เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้” ยืนยันถือหุ้นแน่น “สันติ ปิยะทัต” สมัครใจไม่ขายหุ้นเป็นเวลา 6 เดือน หลังได้กลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ดีเดย์ 19 พ.ค.นี้ หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้านผู้บริหาร-ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 “สันติ ปิยะทัต” ย้ำภาพความแข็งแกร่งบริษัทหลังผ่านความยากลำบากกว่า 5 ปีเต็ม ขอกลับมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาฯ โชว์ Q1/65 รายได้รวมกว่า 81 ล้านบาท เติบโต 706%

นายสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบด้วยคุณภาพอย่างมั่นคงที่ก้าวสู่ปีที่ 40 เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ต้องถูกระงับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นเวลากว่า 5 ปี ผมและทีมงานได้พยายามแก้ไขปัญหาจนสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแลฯ บรรษัทจดทะเบียน ตลอดจนท่านผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จนผู้สอบบัญชีให้ความไว้วางใจ และทำการตรวจสอบบัญชีและรับรองงบการเงินให้เรามาจนถึงปัจจุบัน

ในส่วนของธุรกิจได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงทำเลดี ในราคาที่คุ้มค่า โดยมีแผนที่จะกระจายความเสี่ยง ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้แก่บริษัทฯ และท่านผู้ถือหุ้น ผมและทีมงานเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทุกฝ่ายมีความเชื่อมั่นต่อ เค.ซี.ฯ ว่าจะกลับมาเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ธุรกิจมีความยั่งยืนในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างมั่นคงต่อไป

“เป้าหมายหลักของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่สำคัญที่สุดคือ การพยายามกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้อีกครั้ง ซึ่งเราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากทุก ๆ ฝ่ายจนสามารถกลับมาได้สำเร็จในวันที่ 19 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ทุก ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นทุก ๆ ท่าน ซึ่งผ่านความยากลำบากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พนักงาน คู่ค้า สถาบันการเงิน ตลอดจนหน่วยงานกำกับดูแลฯ เมื่อทุกฝ่ายมั่นใจในตัวเราสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาเป็นภาพรวมของธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งเราทำผลงานออกมาได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ และยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นที่ดีของ เค.ซี.”นายสันติ กล่าว

สำหรับการลงทุนของบริษัทฯ ด้านพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งเรายังคงเตรียมจะพัฒนาโครงการใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่แตกต่างออกไป

นายสันติ กล่าวอีกว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทฯ กลับมาแข็งแกร่ง และสามารถทำกำไรได้ เป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในอดีตบริษัทฯ ประสบกับปัญหาการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจทั้งกระบวนการด้วยกลยุทธ์ FAST Process ซึ่งส่งผลทำให้กลไกของธุรกิจคล่องตัวขึ้น

นอกจากนั้นบริษัทพยายามลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสุดท้ายเราพยายามปรับปรุงและพัฒนา Design และ Function ในโครงการหลัก ๆไปควบคู่กัน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งผลให้อัตรากำไรต่อหน่วยในโครงการหลัก ๆ ของเราดีขึ้น จึงส่งผลทำให้งบการเงินของบริษัทฯ ในไตรมาส 1 ของปี 2565 ดีขึ้น สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้นมูลค่า 81.64 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากไตรมาสแรกปีก่อนหน้าถึง 706% (รายได้ไตรมาสแรกปี 2564 เท่ากับ 11.55 ล้านบาท)

ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและดำเนินการขายอยู่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,399 ล้านบาท สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบต่อไป โดยพยายามพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความสนใจในการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับบริษัทฯ

“แผนธุรกิจตลอดทั้งปี 65 บริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาโครงการต่าง ๆ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ซึ่งอาคารพาณิชย์เป็นโปรดักส์ตัวใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ามาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ได้แก่ โดยการติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ ในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงมองหาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีเพื่อสร้างความสุขแก่ผู้อยู่อาศัย สอดคล้องกับเทรนด์ทั่วโลกที่มีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบประหยัดพลังงาน การดูแลด้านสุขภาพของผู้อยู่อาศัย และระบบอื่น ๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน” นายสันติ กล่าว

อ่านข่าว

ตลท.เตือนผู้ลงทุนศึกษาข้อมูล KC กลับมาเทรด 19 พ.ค.นี้ ส่วนผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50%