SCN ออกพีพีแลกหุุ้นโซลาร์เมียนมา19%

SCN ขยับขึ้น 2.42% รับข่าวปิดดีลซื้อหุ้น GEP Thailand เพิ่มเป็น 49% ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมียนมา หนึ่งในโครงการใหญ่ที่สุดในอาเซียน สร้างความมั่นคงของรายได้ 30 ปี ชำระด้วยเงินสดและออกพีพี 21.69 ล้านหุ้น ในราคา 4.50 บาท สูงกว่าราคาตลาด

นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ หรือ SCN ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นในบริษัท GEP Thailand จำกัด เพิ่มจาก 30% เป็น 49% ร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ หนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ บริษัท Electric Power Generation Enterprise จำกัด (EPGE) ระยะเวลาทั้งสิ้น 30 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการจ่ายไฟฟ้า สร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอในระยะยาว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ COD จำนวน 50 เมกะวัตต์ ในเดือนม.ค. 2562 นี้

สำหรับหุ้นที่ลงทุนเพิ่ม 19% บริษัทชำระเป็นหุ้นที่เสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัด (พีพี) จำนวน 21,695,286 หุ้น ในราคา 4.50 บาท จัดสรรให้แก่ Noble Planet เพื่อชำระเป็นค่าหุ้น GEP Thailand จำนวน 12.37% ของทุนจดทะเบียน ส่วนหุ้นที่เหลือของ GEP Thailand อีก 6.63% จะชำระเป็นเงินสดให้แก่ Planet Energy Holding

ทั้งนี้ การที่ Noble Planet เข้ามาซื้อหุ้นใน SCN ในราคาที่สูงกว่าตลาดนั้น สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินงานของ SCN ที่แข็งแกร่ง และเชื่อมั่นต่อการผลักดันการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบูให้ประสบความสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย

“ SCN มุ่งมั่นในการเข้าร่วมลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นโครงการที่มีศักยภาพที่ดีมาก และสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ต้องการขยายฐานธุรกิจจากพลังงานก๊าซธรรมชาติไปสู่พลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ไปยังประเทศใหม่ๆ ในภูมิภาคนี้เพิ่มเติม ”นายฤทธี กล่าว

ด้านการซื้อขายหุ้น SCN เช้าวันที่ 17 ก.ย. ราคาปรับตัวขึ้นมาบริเวณ 4.24 บาท บวก 0.10 บาทหรือ 2.42% มากกว่าตลาดโดยรวมที่บวกลบเล็กน้อย