TU โค้งแรกกำไรหรู 1,746 ล้านบาท รายได้ 36,272 ลบ.โต 16.5% สูงเป็นประวัติการณ์

HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” โชว์กำไรลดเพียง 3.2% ดีกว่านักวิเคราะห์คาด  จากรายได้รวม 36,272 ล้านบาท โต 16.5% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ความต้องการสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น ธุรกิจหลักทำได้ดี ค่าเงินช่วย ยอดขายโต16.5 % กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 15.4% ยังคงเดินหน้ากำลังผลิตทั่วโลกได้ปกติ  บล.หยวนต้าแนะให้ทยอยซื้อหุ้น เป้า 23 บาท หวังเงินปันผล 5% ต่อปี บอร์ด TU แต่งตั้ง “ธีรพงศ์ จันศิริ” เป็นประธานกรรมการคนใหม่  

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยประกอบงวดไตรมาสแรกปี 2565  มีกำไรสุทธิ 1,745.53 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.36 บาท กำไรลดลง 57.36 ล้านบาท หรือ 3.18% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,802.89 บาท โดยมียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 36,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5%จากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ความต้องการสินค้าทั่วโลกที่สูงขึ้นเนื่องจากหลายประเทศได้กลับสู่สภาวะปกติ และผ่อนคลายมาตรการป้องการการแพร่ระบาดต่างๆด้วยการบริหารจัดการต้นทุน ประกอบกับผู้บริโภคเชื่อมั่นและต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 15.4% อยู่ที่ 6,355 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์เงินเฟ้อและอุปสรรคในห่วงโซ่อุปทานและการขนส่งทั่วโลก

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนยังสามารถทำผลงานได้ดี จากยอดขายจากหน่วยธุรกิจหลักทั้ง 3 ส่วนที่เพิ่มขึ้น  แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความปลอดภัยของพนักงาน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด  มีมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถจัดการฐานการผลิตทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถผลิตสินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทฯมียอดขายดีขึ้นตามความต้องการสินค้าทั่วโลก โดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขายเพิ่มขึ้น 14.3 %อยู่ที่ 15,527 ล้านบาท มีปัจจัยบวกจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจ และราคาขายของสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ส่วนยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น เพิ่มขึ้น 14.2% อยู่ที่ 13,790 ล้านบาท  จากความต้องการที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย ที่มีความต้องการสินค้าประเภทกุ้งสูงขึ้น อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มทยอยฟื้นตัว และเช่นเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนส่งผลบวกต่อยอดขาย นอกจากนี้บริษัทยังได้นำระบบเครื่องจักรอัตโนมัติเข้ามาใช้ในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนต่อหน่วย

ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่า ยังคงมีส่วนสำคัญในการเติบโตทางธุรกิจ สร้างยอดขายที่พุ่งสูงขึ้น 27.2% อยู่ที่ 6,955 ล้านบาท จากการที่ผู้คนใช้เวลาอยู่กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นและบริษัทมีการออกผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆ นอกจากนี้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยังมียอดขายที่สูงขึ้นด้วย

ในไตรมาสแรกของปีนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ และมีการตั้งบริษัทร่วมทุน ร่วมกับ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) และ บริษัท Srinivasa Cystine Private Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออะแวนติ กรุ๊ป โดยใช้ชื่อ บริษัท อาร์บีเอฟ-ทียู ฟู้ด อินกรีเดียนท์ ไพรเวท  เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายส่วนผสมในอาหารคุณภาพสูงในประเทศอินเดีย

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัทแปซิฟิค ห้องเย็น ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) ในนาม บริษัท แปซิฟิค ทียูเอ็ม โคลด์ สโตเรจ   บริษัทร่วมทุนใหม่นี้จะดำเนินการก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อรองรับการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

“ท่ามกลางวิกฤตนั้นมีโอกาส และก็มีความท้าทายอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากโอไมครอน รวมถึงสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานและการขนส่งทั่วโลก และแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงยึดกลยุทธ์หลักในเรื่องความหลากหลายของธุรกิจ โดยได้ลงทุนและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง ซึ่งเราจะสามารถใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าและใช้วัตถุดิบในโรงงานได้อย่างคุ้มค่า และให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านผลิตภัณฑ์และธุรกิจต่างๆ ของเรา เพื่อให้ธุรกิจหลักเติบโตและทำกำไร รวมถึงขยายตัวไปยังธุรกิจที่น่าสนใจเพื่อสร้างสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนและได้ดูแลสิ่งแวดล้อมและท้องทะเลไปพร้อมกัน” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย

กำไรและยอดขายของ TU ในไตรมาสแรก ดีกว่าที่บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า จะมียอดขาย 3.42 หมื่นล้านบาท กำไรปกติอยู่ที่ 1,489 ล้านบาท ลดลง -24.4% QoQ และ -23.3% YoY ส่วนไตรมาสที่ 2 กำไรจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย QoQ จากแนวโน้มต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะเริ่มรับรู้การปรับขึ้นราคาสินค้าแบรนด์ตัวเองเพิ่มราว 5-7% แต่ก็แลกมากับปริมาณขายที่ลดลง โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 7,854 ล้านบาท ลดลง 2.7% จากปีก่อนอยู่ที่ 8,076 ล้านบาทYoY และปรับลดราคาเป้าหมายลงเป็น 23 บาท อิง P/Eที่ 14 เท่า จากเดิมที่ 16 เท่า มี Upside gain 25.7% สะท้อนราคาปัจจุบันมีมูลค่าที่ไม่แพง และคาดหวังเงินปันผลได้ราว 5% ต่อปี จึงยังคงแนะนำ”ซื้อ” เชิงกลยุทธ์แนะนำทยอยสะสมในช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวลง

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติ อนุมัติการแต่งตั้งนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ  แต่งตั้งนายกีรติ อัสสกุล กรรมการอิสระ ดำรงตำแหน่ง  รองประธานกรรมการ  และประธานกรรมการอิสระ เพื่อถ่วงดุลอำนาจระหว่างคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ ตามหลักการดูแลกิจการที่ดี และแต่งตั้งนายนคร นิรุตตินานนท์  ดำรงตำแหน่งกรรมการ ใหม่แทน นายชวน ตั้งจันศิริ กรรมการ ซึ่งลาออกจากตำแหน่งรวมถึงการให้คณะกรรมการสรรหา ค่าตอบแทน และบรรษัทภิบาลพิจารณาสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสม เพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการแทนนายไกรสร จันศิริ และนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป   โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 2565 เป็ นต้นไป