HoonSmart.com>>เตือนนักลงทุนอย่าหลงระเริง หุ้นไทยร่วงน้อยกว่าต่างประเทศหลังดาวโจนส์ดิ่ง 3% บล.บัวหลวงเผยต้นเหตุจากโครงสร้างดัชนีเปลี่ยนไป หุ้นร้อนๆ มาร์เก็ตแคปสูงหนุนดัชนี ตลาดเสี่ยงถูกขาย บล.เจพี มอร์แกน ลดน้ำหนักหุ้นไทยเป็น Neutral บล.เอเซียพลัส จับตาระวัง Block Trade เร่งปิดสถานะ เผย 15 หุ้นมียอดคงค้างสูง “ภากร”มองเห็นโอกาสเงินไหลเข้าตลาดทุนจากเศรษฐกิจฟื้น สวนทางทิ้งตราสารหนี้ ดอกเบี้ยขึ้น
6 พ.ค.2565 เป็นวันที่ตลาดหุ้นไทยโชว์ฟอร์มเจ๋ง ดัชนีลดลงเพียง -0.83% ดีกว่าหลายตลาดในภูมิภาคที่ร่วงแรงมากกว่า 1% หลังจากเจอตลาดหุ้นสหรัฐกระแทกหนักหน่วง เพราะเกรงว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ทำให้ Nasdaq ดิ่ง -4.99% ดาวโจนส์ทรุด -3.12% บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง วิเคราะห์ว่า ตลาดได้รับผลกระทบจากโครงสร้างดัชนีฯที่เปลี่ยนแปลงไป หุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่บางตัว (เช่น JTS,DELTA ,PTTEP ฯลฯ) อาจทำให้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงไม่แรงแต่ก็มีหุ้นหลายตัวร่วงเกินกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ เช่น PTTGC,GPSC, KCE, HANA ทั้งนี้ วันที่ 6 พ.ค. ราคาหุ้น JTS พุ่งขึ้น 5.79% หรือ 30 บาท ปิดที่ 548 บาท ส่วน 3 แบงก์ใหญ่ ปรับตัวลง
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงเน้นการเลือกหุ้นรายตัว หุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาด อาทิ ท่องเที่ยว โรงแรม โรงพยาบาล และหุ้นอื่นๆ อิงการฟื้นตัวของกำไรในครึ่งปีหลัง/แนวโน้มกำไรผ่านจุดต่ำสุด/ราคารับข่าวลงนำไปก่อนแล้ว ส่วนกลุ่มพลังงาน คาดกำไรหลักรวมเติบโตดีในไตรมาส 1 และขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 มูลค่าหุ้นน่าสนใจพร้อมมีอัพไซต์ ชอบ PTTEP และ TOP มากสุดในกลุ่ม
ด้าน JP Morgan โบรกเกอร์ต่างชาติ ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยจาก Overweight เป็น Neutral คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตามรายได้ภาคบริการที่มีแนวโน้มเติบโตพลาดเป้า
บล.เอเซียพลัส เตือนให้ระวัง Block Trade เร่งปิดสถานะ หากตลาดเกิดความผันผวน เพราะยังมีคงค้างในระดับสูง โดยสูงสุด 15 อันดับแรกมูลค่ารวม 2.24 หมื่นล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 52% ของสถานะคงค้างทั้งหมด โดย3 อันดับแรกคือ EA,KTC และ CBG นอกจากนี้ นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังกลุ่มขนาดกลางเล็ก หลังเห็นการขายออกมามาก ส่วนฟันด์โฟลว์ยังคงชะลอไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นเดือน พ.ค. นี้ และค่าเงินบาทที่อยู่ในโซนอ่อนค่า น่าจะกดดันให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยน้อยกว่าช่วงแรกๆ ของปี
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลายประเทศเริ่มกลับมาใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น และเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ของไทยมีทิศทางไหลออก แต่ในด้านของตลาดทุนมองว่ามีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเข้ามาช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย
บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน คาดการณ์การประกาศรายชื่อคำนวณดัชนี MSCI Global Standard Index วันที่ 12 พ.ค.2565 หลังตลาดสหรัฐฯ ปิด และมีผลวันที่ 31 พ.ค.2565 ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 พ.ค.2565 คาดว่าหุ้นไทยจำนวน 4 บริษัทมีโอกาสเข้าคำนวณดัชนี ได้แก่ JMT มีโอกาสสูงมาก คิดเป็นเม็ดเงิน 81 ล้านเหรียญฯ, หุ้น COM7 มีโอกาสสูงมากเช่นกัน คาดเม็ดเงินราว 75 ล้านเหรียญฯ หุ้น TIDLOR มีโอกาสปานกลาง คาดเม็ดเงินราว 65 ล้านเหรียญฯ และหุ้น BANPU มีโอกาสปานกลางเช่นกัน คาดเม็ดเงินราว 113 ล้านเหรียญฯ ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะถูกถอดออก 2 บริษัท คือ STGT และ BGRIM คาดถูกขายราว 40-45 ล้านเหรียญฯ กลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีโอกาสเข้า และเลี่ยงหุ้นที่เสี่ยงหลุด
ด้าน FTSE Update FTSE จะประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่ วันที่ 20 พ.ค.2565 และมีผลราคาปิด 17 มิ.ย.2565 ซึ่งโนมูระฯ คาดว่า ไม่มีหุ้นไทย เข้า-ออก ใหม่
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ถ้าเงินเฟ้อยังปรับขึ้นสูงอยู่ ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ก็อาจต้องใช้ยาแรง กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็อาจจะไม่ดี ส่งผลลบต่อหุ้น Growth Stock เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะเอาคิดในส่วนของ Value ด้วยทำให้มีโอกาสที่จะลดลง
“เศรษฐกิจกำลังจะแย่ ดอกเบี้ยก็จะขึ้น ทำให้คนลดการถือครองหุ้น ซึ่งตลาดของประเทศพัฒนาแล้วได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว แต่ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลง เพราะเงินเฟ้อไม่ได้แร่งขึ้นเยอะ เนื่องจากเศรษฐกิจเรายังไม่โต ทางกนง.ก็เลยยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจ เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นความเสี่ยง อาจทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก อีกทั้งเราก็ปรับราคาดีเซล ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น กำลังซื้อน้อยลง จึงมองกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะแย่กว่าที่คิดไว้ ทำให้หุ้นไทยปรับตัวลง”
นอกจากนี้ ไทยมีความคาดหวังในเรื่องการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลัง ซึ่งไทยพึ่งพิงจีนมาก แต่ขณะนี้จีนก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวอาจไม่มาช่วยหนุนการฟื้นตัวเพียงแต่ตอนนี้คนยังคิดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามา และถ้าเงินบาทอ่อนค่าเร็ว ก็อาจจะทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเศรษฐกิจไม่ดี และยังปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกก็จะแย่ไปอีก จึงเป็นที่มาคนไม่ถือหุ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ จะไม่เล่นกันเลย อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังสามารถลงทุนหุ้นพวก Defensive และพวก Domestic Plays ได้