BIS หวังโตเร็ว จ่อรุกธุรกิจอาหารคน ไบโอเทคโตเกิน 20%/ปี คืนหนี้ลดดบ.6 ลบ.

HoonSmart.com>>”ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์”สุดยอด  หุ้นเข้าเทรดวันแรก เปิดที่ราคา 11 บาท จากขาย IPO ที่ 6 บาท แนวโน้มธุรกิจไบโอเทคโตสบาย 20%/ปี  นำเงินชำระหนี้ 200 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยจ่าย 5-6 ล้านบาท สร้างโรงงานได้ BOI  เพิ่มความสามารถแข่งขัน-มาร์จิ้นสูงขึ้น  มองการเติบโตก้าวกระโดด สนใจขยายธุรกิจอาหารคน “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ ซื้อ IPO ถือหุ้นใหญ่อันดับแปด 8.3 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.64% 

นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS) หุ้นวัคซีนและยาสัตว์ รายแรกในตลาดหุ้นไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯมีประสบการณ์ 18 ปี มั่นใจธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง คาดรายได้ในปีนี้ขยายตัว  20% โดยยังมีช่องว่างในการจำหน่าย ทั้งในประเทศและ CLMV ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และเตรียมขยายกิจการทั้งปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ในอนาคตมีแผนจะทำธุรกิจอาหารที่คนกิน เป้าหมายเพื่อให้เติบโต Organning

“เทรนด์ธุรกิจไบโอเทคเน้นการป้องกันมากกว่ารักษา บริษัทเป็นรายใหญ่ มีสินค้า 6 กลุ่ม ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งในประเทศ และ CLMV มีพันธมิตร คู่แข่งรายใหญ่มีไม่มาก”

ส่วนการระดมทุนครั้งนี้ ได้นำเงินไปชำระหนี้กว่า 200 ล้านบาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 5-6 ล้านบาท จากภาระต้นทุนประมาณ 3% ต่อปี  ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง ( D/E ) เดิมอยู่ที่ 2.4 เท่า เหลือ 0.8 เท่า  บริษทมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น  ส่วนโรงงงานของบริษัท เมื่อผลิตเอง ธุรกิจซื้อมาขายไป  จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง รวมถึงโรงงานยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ภาษีและค่าใช้จ่ายลดลง

นายสัตวแพทย์ธนวัฒน์  กล่าวกรณี นาย วิชัย วชิรพงศ์ หรือเสี่ยยักษ์ นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อหุ้น IPO  เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่แปดจำนวน 8.3 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.64% ว่า นายวิชัยเรียนจบสัตวบาล มีความรู้ความเข้าใจธุรกิจนี้และเห็นการเติบโตของบริษัท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์หุ้น BIS ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 7.00 บาท P/E 18.40 เท่า โดยอิงจากค่าเฉลี่ยของบริษัทที่มีลักษณะธุรกิจที่ใกล้เคียงกันในตลาดได้แก่ ASIAN, CPF, PPPM และ TFM ในส่วนของ Complete Feed และในส่วนของยาและอาหารเสริม DOD และ MEGA มองเห็นจุดแข็งผลการดำเนินงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งซัพพลายเออร์และลูกค้ารายใหญ่ มีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

สำหรับกำไรสุทธิปี 2565-2566 คาดอยู่ที่ 119 ล้านบาท (+65% YoY) และ 137 ล้านบาท (+15% YoY) บนสมมติฐาน  รายได้อยู่ที่ 2,363 ล้านบาท (+20% YoY) และ 2,681 ล้านบาท (+13% YoY) เติบโตได้ต่อเนื่อง จากรายได้ในส่วนของ Animal Health และ Nutrition ที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ หลังจากหดตัวในช่วงผลกระทบโควิด และในส่วนของ Diagnostic ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำยาตรวจหาเชื้อของบริษัทยังอยู่ระดับสูง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.5% เพิ่มขึ้นจำก 17.6% ของปี 2564 จากการผลิตสินค้าภายในโรงงานตัวเองเริ่มในปี 2564 จากเดิมจ้างบริษัทอื่นผลิตให้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายและคุมต้นทุนได้มากขึ้น

ด้านการซื้อขายหุ้น BIS วันแรก (5 พ.ค.2565) เปิดสดใสที่ราคา11 บาท ก่อนขึ้นไปสูงสุดที่ 11.30 บาท และมีแรงขายทำกำร อ่อนตัวลงไปต่ำสุดที่ 8.05 บาท และปิดที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.90 บาท หรือ 48.33% เทียบกับราคา IPOที่ 6 บาทื มูลค่าซื้อขายกว่า 1,631 ล้านบาท