หุ้น EKH-RAM ร่วงลงหลัง”เอกชัยการแพทย์”รับขายหุ้น-ยืนยันไม่ทำเทนเดอร์ฯ

HoonSmart.com>>หุ้น EKH ควง RAM ปรับตัวลง หลัง EKH แจ้งกำลังพิจารณาขายหุ้นให้ RAM พร้อมยืนยันไม่มีการทำเทนเดอร์ฯ โดยมีข่าวออกมาว่า EKH เตรียมเพิ่มทุน PP ให้ RAM ต่อยอดธุรกิจการแพทย์ ด้านโบรกฯมองบวกต่อดีลนี้-มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างสูง โดยคาดหากมี Synergy ทำให้ EKH เพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น-มีโอกาสที่ขายแพคเกจร่วมกัน-เพิ่มโอกาสในการต่อรองกับบริษัทยา-ลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด

เมื่อเวลา 10.00 น.หุ้น EKH ร่วง 5.38% มาอยู่ที่ 8.80 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 87.29 ล้านบาท
หุ้น RAM ลบ 1.54% มาอยู่ที่ 63.75 บาท ลดลง 1.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 8.87 ล้านบาท

เช้านี้ บริษัท เอกชัยการแพทย์ (EKH) แจ้งว่า เนื่องด้วยมีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัทฯ ให้แก่บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ทางบริษัทฯขอชี้แจงว่า บริษัทฯไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาและยังไม่มีความแน่ชัด โดยขอยืนยันว่าไม่มีการทำคำเสนอซื้อ(Tender Offer)

อย่างไรก็ดี เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลมีความชัดเจนและไม่ก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน รวมถึงเพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน บริษัทฯจึงขอให้ผู้ถือหุ้น และผู้ลงทุนติดตามข้อมูลของบริษัทฯในเรื่องดังกล่าวผ่านช่องทางการเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้น

บล.เคทีบีเอสที มีมมุมมองบวกต่อข่าวบริษัท เอกชัยการแพทย์ (EKH) เตรียมเพิ่มทุน PP ดึง บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ต่อยอดธุรกิจการแพทย์ ซึ่งรอเข้าประชุมบอร์ดในเร็ว ๆ นี้ คาดว่า RAM จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นเกิน 25% โดยมองว่ามีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะเกิดดีลนี้ เนื่องจากทั้ง RAM และ EKH มีการดำเนินธุรกิจคล้าย ๆ กันอยู่แล้ว และมองว่ามีโอกาสที่ EKH จะเลือก RAM เพื่อร่วมดำเนินขยายธุรกิจร่วมกัน

แต่ทั้งนี้หากดีลข้างต้นเกิดขึ้นจริง คาดจะมี Synergy ทำให้ EKH เพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะศูนย์ IVF และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่คาดว่าจะเปิดในปีนี้, มีโอกาสที่ขายแพคเกจร่วมกัน, เพิ่มโอกาสในการต่อรองกับบริษัทยาเนื่องจากซื้อยาล็อตใหญ่ขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รวม synergy ข้างต้นในประมาณการ โดยรอรายละเอียดหลังการประชุม ดังนั้น คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 252 ล้านบาท (-27% YoY) จากฐานเดิมที่สูงเมื่อปี 2564 ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 8.00 บาท