TTB กำไร 3,195 ลบ.โต14% ตั้งสำรองลดลง Q1/65

HoonSmart.com>>ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 จำนวน 3,194.90 ล้านบาท โต 14% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรก่อนหักสำรองฯ 8,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% แม้รายได้ดอกเบี้ย-รายได้มิใช่ดอกเบี้ยลดลง  ฝีมือบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพ คุณภาพสินทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมาย สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.73% จาก 2.81%  จึงตั้งสำรองฯ ลดลง 4% เหลือ 4,808 ล้านบาท  

ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB) เปิดเผยผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 1/2565 มีกำไรสุทธิ 3,194.90 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.0331 บาท เพิ่มขึ้น 412.94 ล้านบาท หรือ 14.84%จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) มีกำไรสุทธิ 2,781.96 ล้านบาท หรือ 0.0289 บาทต่อหุ้น และเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาส 4/2564 (QoQ)

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต (TTB) เปิดเผยว่า การดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี2565 ในภาพรวมถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตมากกว่าปี 2564 ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี การเติบโตก็จะยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง เน้นเฉพาะสินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย เช่น สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อบ้าน ซึ่งธนาคารมีความชำนาญและเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำตลาด

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เปิดตัวบริษัทลูก ทีทีบี คอนซูมเมอร์ จะเข้ามาช่วยผลักดันสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 5% ของสินเชื่อรวม มองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกจากฐานลูกค้ารายย่อยที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าหลังการรวมกิจการ ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของรายได้ดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อในช่วงถัดไป รวมถึงเป็นปัจจัยหนุนการรับรู้ Revenue Synergy หรือประโยชน์จากการรวมกิจการด้านรายได้จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอื่น ๆ ให้กับลูกค้าในอนาคตด้วยเช่นกัน

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ เป็นไปตามเป้าหมายและมีสัดส่วนหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ขณะที่สินเชื่อภายใต้โปรแกรมให้ความช่วยเหลือก็ทยอยลดลงเป็นลำดับ โดยลูกค้าที่ออกจากโปรแกรมไปส่วนใหญ่สามารถกลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติ ทั้งยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา อย่างไรก็ดี ธนาคารจะยังคงดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างเข้มงวดและตั้งสำรองฯ ในระดับสูงต่อไป เพื่อความรอบคอบและคงฐานะการเงินให้มีความแข็งแกร่ง

ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 เงินฝากอยู่ที่ 1,360 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการขยายตัวของเงินฝากลูกค้ารายย่อย นำโดยบัญชี ทีทีบี อัพแอนด์อัพ ขณะที่บัญชี ทีทีบี ออลล์ฟรี และทีทีบี โนฟิกซ์ ก็ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ย 12,409 ล้านบาท ลดลง 3.6% YoY และลดลง 2.8% QoQ ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.91% ลดลง 0.09% YoY  ขณะที่มีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 3,365 ล้านบาท ลดลง 20.8% YoY และลดลง 10% QoQ โดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังเติบโตได้ตามแผน สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบโตได้ที่ 1.2% และ 0.8% ตามลำดับ แต่สินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ลดลง สาเหตุหลักจากการชำระคืนสินเชื่อหมุนเวียน ส่งผลให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 1,366 พันล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยที่ 0.4% จากไตรมาสที่แล้ว

ขณะที่ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ (PPOP) จำนวน 8,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาส 4/2564 และใกล้เคียงกับ 8,898 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2564 ปัจจัยหนุนหลักมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 6,987 ล้านบาท ลดลง 12.7% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 14.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยลดแรงกดดันจากรายได้ ซึ่งยังคงเห็นการชะลอตัวอยู่ โดยรายได้จากการดำเนินงานรวม  อยู่ที่ 15,774 ล้านบาท ชะลอลง 4.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 และ 7.9% จากไตรมาส 1/2564 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังคงชะลอตัว ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้าธุรกิจปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัว

ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 42,144 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับ 42,120 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน ขณะเดียวกันสัดส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.73% จาก 2.81% ในไตรมาสที่แล้ว ทำให้ในไตรมาส 1/2565 ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯอยู่ที่ 4,808 ล้านบาท ลดลง 4.2% จากไตรมาสก่อน และ 12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังถือเป็นการตั้งสำรองฯ ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะปกติ และเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสำรองฯ ต่อหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 132% จากระดับ 129% ในไตรมาสก่อน

ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังอยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/65 อัตราส่วน CAR และ Tier I (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.4% และ 15.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ

นายปิติ กล่าวว่า นอกเหนือจากการกลับมาเติบโตเงินฝากและสินเชื่อแล้ว ในปีนี้ธนาคารก็ยังมีแผนลงทุนและพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบใหม่ ๆ เสริมความสามารถในการแข่งขันให้กับธนาคาร และยกระดับการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเรา เพื่อสร้างชีวิตการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั้งวันนี้ และอนาคต