“เสี่ยปู่” ขายสวนตลาดพุ่ง 38 จุด ต่างชาติยังไม่เข้า

หุ้นไทยร้อนแรงดีดขึ้น 38 จุด รายใหญ่-บลจ.-นักวิเคราะห์มองตรงกันตลาดไปไม่ไกล ต่างชาติยังไม่รีบซื้อ กลัววิกฤตค่าเงิน วันเดียวกลุ่มปตท.มาร์เก็ตแคปเพิ่มมากถึง 1.36 แสนล้าน “เสี่ยปู่” เชียร์ TPIPP,BEM และ SAWAD ค่าเงินลีราตุรกีพุ่งขึ้นแรง หลังดอกเบี้ยขึ้นพรวดเดียว 6.25% สู่ระดับ 24%

ตลาดหุ้นไทยร้อนแรง วันที่ 13 ก.ย. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดีดแรงแข็งแกร่งเหลือ 1,700 จุด ปิดที่ 1,717 จุด ทะยานขึ้น 2.30% ท่ามกลางมูคค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 78,999.35 ล้านบาท เกิดจากกองทุนในประเทศซื้อมากที่สุด 11,481 ล้านบาท ต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,007 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายสุทธิ 12,787 ล้านบาท

ส่วนแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวขึ้นมามาก ส่งผลบวกต่อหุ้นในครอบครัวปตท.เต็มๆ สร้างมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)มากถึง 136,011 ล้านบาทภายในวันเดียว

นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ “เสี่ยปู่” นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวกับ www.hoonsmart.com ว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจาก 2 ปัจจัยคือ ปัจจัยต่างประเทศ การค้าสหรัฐ-จีน ที่จะมีการเจรจารอบใหม่ และปัจจัยในประเทศการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งตลาดหุ้นก่อนเลือกตั้งจะปรับตัวขึ้นสักพักแล้วชะลอตัวรอผลการตั้งรัฐบาล

เสี่ยปู่ กล่าวว่า ไม่คาดหวัง SET ไปเท่าไร เพราะสไตล์การลงทุนของเสี่ยปู่ ทยอยซื้อหุ้นช่วงตลาดแย่ ๆ ขาลง ซื้อหุ้นเก็บต่อเนื่อง และขายลดพอร์ตเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ซึ่งวันนี้หุ้นขึ้นกว่า 40 จุด เป็นโอกาสขายทำกำไร

“ตลาดดี ๆ ผมก็ลดพอร์ต วันนี้ผมก็ขาย ปกติตลาดแย่ ๆ ซื้อมาตลอด หุ้นที่ผมสนใจส่วนใหญ่เป็นหุ้น Defensive เช่น TPIPP มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงมากกว่า 7 % หรือหุ้น BEM รวมทั้ง SAWAD ที่ผมเก็บมาตลอดทาง ” นายสมพงษ์กล่าว

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า แม้จะรู้กรอบระยะเวลาในการเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยทันที ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นต้องปรับประมาณการดัชนีสิ้นปีที่ให้ไว้ 1,780 จุด

“ปัจจัยที่สำคัญกว่า คือ ภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งสถานการณ์ทางการเงินในตลาดเกิดใหม่ และสงครามการค้า แต่เมื่อใดที่ข่าวร้ายเหล่านี้มีความชัดเจนขึ้น จะทำให้เงินลงทุนมีโอกาสกลับเข้ามาที่ประเทศไทยมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และจะมีการเลือกตั้งเป็นปัจจัยบวกขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง” นางชวินดา กล่าว

นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส(ASP) กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นครั้งนี้ 2,000 ล้านบาท คาดว่าเป็นการกลับมาช่วงสั้น จากเรื่องกรอบเวลาในการเลือกตั้ง แต่ยังไม่ปลดล็อกทางการเมืองทั้งหมด ส่วนดัชนีหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรงมากกว่า 2% ทำให้ตลาดซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี)เพิ่มขึ้นจาก 15 เท่า เป็น 16 เท่า คาดดัชนีหุ้นเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 1,725 จุด

“สถิติที่ผ่านมา หุ้นจะขึ้นล่วงหน้า 1-2% ก่อนการเลือกตั้ง 5 เดือน แต่ครั้งนี้ตลาดดีดกลับมาแรง 2% เร็วกว่าคาด ถามว่าต่างชาติจะกลับมานานแค่ไหน คิดว่ากลับมาช่วงสั้น ๆ เพราะปัจจัยต่างประเทศยังคงกดดันอยู่ ทั้งเรื่องสงครามการค้า และปัญหาค่าเงินของประเทศเกิดใหม่ “นางภรณีกล่าว