ดาวโจนส์ปิดบวก 103 จุด กลุ่มเทคโนโลยีฟื้น

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 103 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ถูกเทขายในไตรมาสแรก นักลงทุนยังจับตาการคว่ำบาตรัสเซียเพิ่ม ท่ามความกังวลเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 4% กลับมายืนเหนือ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 4 เมษายน 2565 ปิดที่ 34,921.88 จุด เพิ่มขึ้น 103.61 จุด หรือ 0.30% ด้วยแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ถูกเทขายในไตรมาสแรก ขณะที่นักลงทุนยังจับตาการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,582.64 จุด เพิ่มขึ้น 36.78 จุด, +0.81%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,532.55 จุด เพิ่มขึ้น 271.05 จุด, +1.90%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้น นำโดยกลุ่มโซเชียลมีเดีย ที่หุ้น twitter เพิ่มขึ้น 72% หลังจากอีลอน มัสก์เข้าซื้อหุ้น 9.2% ในบริษัท และเป็นการปรับขึ้นสูงสุดของ twitter นับตั้งแต่ IPO เพราะนักลงทุนเก็งว่าอีลอนจะซื้อหุ้นทั้งหมด หรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้จะเป็นการซื้อหุ้นแบบถือยาว(passive)

หุ้นเทสลาเพิ่มขึ้น 5.6% จากตัวเลขการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไตรมาสแรกที่สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน

หุ้นแอปเปิล หุ้นแอมะซอน หุ้นอัลฟาเบทและหุ้น Nvidia ต่างปรับขึ้นกว่า 2% หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 6.62% หุ้น JD.com เพิ่มขึ้น 7.69%

แซม สโตวอลล์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนจาก CFRA กล่าวว่า ดัชนี Nasdaq นำการปรับขึ้นเพราะไม่มีข่าวใหม่ที่สร้างแรงกดดัน

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นประจำปีที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ เจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพี มอร์แกน ชี้ว่า สงครามในยูเครนว่าเป็น 1 ใน 3 ความเสี่ยงหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่วนอีกสองความเสี่ยงคือ การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19ด้วยมาตรการกระตุ้น และกับ ความจำเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและการลด QE จากธนาคารกลางสหรัฐ

ไดมอนกล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่การสู้รบในยูเครนและการคว่ำบาตรรัสเซียได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมากแล้ว มีผลต่อตลาดน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษตรทั่วโลก และนักเศรษฐศาสตร์ของเจพี มอร์แกนมองว่า ยุโรปซึ่งต้องพึ่งพารัสเซียในด้านน้ำมันและก๊าซอย่างมากนั้น GDP จะเติบโต ประมาณ 2% ในปี 2565 แทนที่จะเป็น 4.5 % ที่คาดไว้เมื่อ 6 สัปดาห์ก่อน และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะโตประมาณ 2.5% เทียบกับ 3% ที่ประมาณไว้ก่อนหน้านี้

ความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในรับมือของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อวิกฤติทางภูมิรัฐศาสตร์และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยังคงเพิ่มขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงอยู่ในภาวะ inverted ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจจะถดถอย โดยในเช้าวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปียังคงต่ำกว่าผลตอบแทนพันธบัตรอายุระยะสั้น 2 ปี ปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้าในการถดถอยทั้ง 8 ครั้งล่าสุดตั้งแต่ปี 1969

ไรอัน ดีทริกจาก LPL Financial กล่าวว่า “น่าจะหมายความว่าช่วงเวลาของภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ข่าวดีคือข้อมูลย้อนหลังชี้ว่า อาจต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าที่ภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นจริง”

ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นมากกว่า 4% กลับมาที่ระดับเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นประมาณ 3% ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้นว่าภาวะถดถอยอาจจะเกิดขึ้น

นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ในยูเครน โดยนายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่าประเทศตะวันตกจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

กระทรวงพาณิชย์รายงาน คำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 0.5%

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่ประเทศตะวันตกเตรียมที่จะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม จากรายงานว่ากองกำลังรัสเซียสังหารพลเรือนในวงกว้างและโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนในเมืองใหญ่

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนกล่าวหารัสเซียว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ด้านรัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ากองกำลังของตนสังหารพลเรือนในเมืองบูชา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเคียฟ ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 23 ไมล์

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 462.19 จุด เพิ่มขึ้น 3.85 จุด, +0.84%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,558.92 จุด เพิ่มขึ้น 21.02 จุด, +0.28%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,731.37 จุด เพิ่มขึ้น 47.06 จุด, +0.70%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,518.16 จุด เพิ่มขึ้น 71.68 จุด, +0.50%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 4.01 ดอลลาร์ หรือ 4% ปิดที่ 103.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 3.14 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 107.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล