JDF ปิดจอง IPO เกลี้ยงพร้อมเทรด 7 เม.ย. Big Lot กก.-ผู้บริหาร 11 ล้านหุ้น

HoonSmart.com>>“เจดีฟู้ด” ปลื้มนักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ล้นหลามขายเกลี้ยง 150 ล้านหุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นในฐานะ Food Tech สุดแข็งแกร่ง มั่นใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่อเนื่อง หุ้นพร้อมเข้าซื้อขายใน SET 7 เม.ย.นี้ ด้าน 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่เตรียมโยน Big Lot บนกระดานเทรดวันแรก 11 ล้านหุ้น หรือ 1.85% ให้กรรมการและผู้บริหาร หวังสร้างแรงจูงใจและเติบโตไปพร้อมกัน

นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุน ของ บริษัท เจดีฟู้ด (JDF) เปิดเผยว่า ในช่วงเปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)  ของ JDF ระหว่างวันที่ 29 – 31 มี.ค.ที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อเต็มจำนวน สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งศักยภาพการเติบโตในอุตสาหกรรมอาหาร แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทฯ ก็ยังคงบริหารธุรกิจและจัดการความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่า JDF จะได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องในวันเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม วันที่ 7 เมษายน 2565 นี้

ทั้งนี้ JDF เสนอขายหุ้น IPO  จำนวน 150 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท กำหนดราคาขายหุ้นละ 2.60 บาท โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที  , บริษัทหลักทรัพย์ พาย , บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส , บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล

ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เจดีฟู้ด (JDF) กล่าวเสริมว่า JDF จะเป็นอีกหุ้นเด่นที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น มีโรงงานแห่งใหม่ที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล สามารถเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุค New Normal เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่ม เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต จึงมองว่า JDF จะเป็นหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทที่มีจุดแข็งและปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคงตามเทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก

รัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์

นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีฟู้ด (JDF) เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 370.50 ล้านบาท เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย ลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงและลงทุนในระบบเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตและเชื่อมโยงด้านข้อมูล และใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน โดยระยะเวลาในการใช้เงินปี 2565-2567

ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมอาหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปมายาวนานกว่า 20 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่มากมาย การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้บริษัทฯได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปของคนไทยสู่ระดับโลก

ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JDF คือ กลุ่ม “ครอบครัวหอสัจจกุล” โดยมีสัดส่วนก่อน IPO 75% หลัง IPO 54.87% และนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ สัดส่วนก่อน IPO 25% หลัง IPO 18.28%

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ภายหลังหุ้นของบริษัทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นายธีรบุล หอสัจจกุล และนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ มีความประสงค์จะดำเนินการขายหุ้นสามัญเดิมที่ตนถืออยู่ในบริษัท ให้แก่กรรมการอิสระและผู้บริหาร เพื่อสร้างแรงจูงใจหรือเสริมสร้างกำลังใจให้กรรมการอิสระหรือผู้บริหารในการร่วมงานกับบริษัท โดยจะมีการซื้อขายหุ้นสามัญเดิม 11 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย ในเท่ากับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่าน Big Lot ซึ่งการขายหุ้นสามัญเดิมดังกล่าวไม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกนี้

ทั้งนี้ การขายหุ้นดังกล่าวของ นายธีรบุล หอสัจจกุล และนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกลุ่มผู้ถือใหญ่ของบริษัท โดยภายหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเดิมแก่กรรมการบริษัทและผู้บริหารดังกล่าว กลุ่มครอบครัวหอสัจจกุล และนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชน ซึ่งยังคงมีอำนาจในการเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่