HoonSmart.com>>หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้ปรับขึ้นทั่วหน้า นำโดยหุ้น TH-JMT สามารถบริหารความเสี่ยง(Hedging)กับแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงระดับ NPL มีแนวโน้มสูงในช่วงครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป โบรกฯเชียร์”ซื้อ”JMT ให้น้ำหนักพัฒนาการของการร่วมทุน-รับรู้รายได้ใน JV กับ KBANK ที่กำลังเกิดขึ้นใน 2-3 เดือนข้างหน้า ชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน-เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตของกำไร
เมื่อเวลา 10.24 น.หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้ปรับตัวขึ้นทั่วหน้า นำโดยหุ้น TH พุ่ง 7.29% มาอยู่ที่ 5.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท มูลค่าซื้อขาย 327.14 ล้านบาท
หุ้น JMT พุ่ง 5.76% มาอยู่ที่ 73.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 754.04 ล้านบาท
หุ้น CHAYO บวก 3.36% มาอยู่ที่ 12.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 38.30 ล้านบาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า กลุ่มที่น่าสนใจมองไปยังกลุ่มบริหารหนี้หรือ AMC (JMT, CHAYO, BAM) ซึ่งมองว่าจะสามารถบริหารความเสี่ยง ( Hedging) กับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอมากขึ้น รวมไปถึงระดับ NPL ที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะ”ซื้อ”หุ้น JMT ราคาเป้าหมาย 103 บาท/หุ้น แนวโน้มกำไรยังเป็นลักษณะใกล้เคียงกับในอดีต โดยงวดไตรมาส 1/65 อาจอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาลทว่ายังรักษาอัตราเติบโตสูงเทียบ YoY ไว้ได้ ก่อนที่จะขยายตัว QoQ ในช่วงที่เหลือของปี ที่สำคัญกว่านั้นในครึ่งแรกปี 65 ให้น้ำหนักพัฒนาการของการร่วมทุน-รับรู้รายได้ใน JV กับKBANK ที่กำลังเกิดขึ้นใน 2-3 เดือนข้างหน้า การเข้าซื้อที่ชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตของกำไรเฉลี่ย (CAGR) 43% ใน 2 ปีข้างหน้า โดยยังคงเลือก JMT เป็น Top pick สำหรับกลุ่มบริหารหนี้ฯ (AMC) ที่การเติบโตโดดเด่นเทียบภายในกลุ่มการเงิน
เบื้องต้นประเมินกำไรไตรมาส 1/65 ราว 430 ล้านบาท -10%QoQ, +52%YoY เป็นจุดต่ำสุดของปีก่อนจะขยายตัวตามพอร์ตหนี้ฯเก่า-ใหม่
จากข้อมูลงบการเงิน ณ สิ้นปีที่ผ่านมา KBANK มี NPL คิดเป็นมูลหนี้ราว 1 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมหนี้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML หรือ Stage 1-2) ที่อาจไหลมาเป็น NPL อีกเกือบเท่าตัว ตามที่ S&P Ratings ประเมิน การเร่งโอนหนี้เสียเข้า JV จะเป็นรูปแบบที่ win-win ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน่ไตรมาส 2/65 และรับรู้กำไรในไตรมาส 3/65 ที่พร้อมจะทำ All time high โดยประเมินทุกเงินลงทุนใน JV 10,000 ล้านบาท จะสร้าง Upside risk ต่อกำไรตามสัดส่วน (50%) ราว 225 ล้านบาท/ปี หรือ +7% บนฐานกำไรปี 2566 (+6.43 บ./หุ้น อิง P/E 40x) ทั้งนี้หากโมเดลข้างต้นสำเร็จจะเป็นตัวอย่างให้กับธนาคารพาณิชย์อื่นในครึ่งหลังปี 65 ที่อยู่นอกเหนือประมาณการ
พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2565-66 เท่ากับ 2,324/3,465 ล้านบาท +66%, 49%YoY ตอกย้ำภาพของหุ้นที่อยู่ Growth stage ยังคงชัดเจน