CKPower โตแกร่ง เน้นลงทุนพลังงานหมุนเวียน บล.เมย์แบงก์-เคทีบีเอสที เชียร์

HoonSmart.com>>ปี 2565 น่าจะปีที่ดีอีกปีหนึ่งของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และมีระดับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เพราะนอกจากโมเดลธุรกิจจะเติบโตตามเมกะเทรนด์แล้ว จากสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งประจวบเหมาะกับความมุ่งมั่นของบริษัทในการขยายการลงทุน เพื่อเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งให้ถึง 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จึงนับว่า CKP ถือเป็นหนึ่งในหุ้นปลอดภัยที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

โดยในปี 2564 CKPower พิสูจน์ผลงานให้เห็นอย่างชัดเจน มีรายได้รวม 9,334.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และทำกำไรสุทธิ 2,179.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.4% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อในฝีมือการบริหารจัดการว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้

โดยในปี 2565 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนจำนวน 2,600 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มทุนตามสัดส่วนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งใหม่ใน สปป.ลาว และลงทุนเพิ่มเติมในโครงการอื่นๆ ซึ่งกำลังการผลิตติดตั้งใหม่ทั้งหมดที่บริษัทลงทุนจะมาจากพลังงานหมุนเวียน

เพิ่มพอร์ตพลังงานลม-แสงอาทิตย์

สำหรับการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในประเทศที่บริษัทกำลังศึกษาคือประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความน่าสนใจในการลงทุนทางด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในระยะเวลา 5 ปี CKPower จะเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 330 เมกะวัตต์ และจะเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานลมให้เป็น 700 เมกะวัตต์ ทั้งนี้บริษัทยังคงติดตามความคืบหน้าของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan หรือ PDP) ฉบับที่ 8 ของประเทศเวียดนาม เพื่อลงทุนให้สอดคล้องกับแนวทางของแผนฉบับดังกล่าว ดังนั้นการเพิ่มพอร์ตลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมแบบก้าวกระโดด จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่บริษัทมุ่งเน้นมาโดยตลอด

บล.เมย์แบงก์-เคทีบีเอสที เชียร์ “ซื้อ”

บล.เมย์แบงก์ คาดกำไรปี 2565 จะยังโดดเด่นอยู่ที่ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี จำนวน 1,487.0 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่ายอดขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ปี 2565 จะสูงใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ที่ 7,304 GWh โดย CKPower ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2564 เท่ากับ 0.08 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 30% ของกำไร และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 1.6% ทาง บล.เมย์แบงก์ จึงได้กำหนดราคาเป้าหมายเท่ากับ 6.50 บาท และให้คำแนะนำ “ซื้อ”

ด้าน บล.เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมายเท่ากับ 5.70 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวกจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งใหม่ใน สปป.ลาว ทำให้มีผลต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต และให้คำแนะนำ “ซื้อ”

สำหรับเส้นทางของ CKPower ที่มุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 และเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้ไม่ต่ำกว่า 95% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท นอกจากการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนแล้ว ยังสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการมุ่งสู่สังคมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 อีกด้วย