บลจ.ไทยพาณิชย์ออก “กองทุนผสม” ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ตลาด

HoonSmart.com>> “บลจ.ไทยพาณิชย์” เปิดตัวกองทุนผสม “SCBCIO” ลงทุนหลายสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ ปรับพอร์ตตามตลาดผ่านกองทุนทั่วโลกแบบไร้ข้อจำกัด เสนอขาย IPO 22 – 28 มี.ค.นี้

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ในการจัดสรรสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงสภาวะตลาด โดยคำนึงถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Cross Asset Investment Opportunity (SCBCIO) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เริ่มเสนอขายครั้งแรก (IPO) 22-28 มี.ค.2565 โดยผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส

“ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านต่างๆได้สร้างความผันผวนให้กับตลาด บลจ.จึงพยายามสร้างโอกาสการลงทุนที่เป็นประโยชน์และตอบสนองความต้องการของนักลงทุนให้มากที่สุด จึงนำเสนอกองทุนที่มีนโยบายผสมที่ลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ตามสภาวะตลาด ให้สอดคล้องกับผลตอบแทนเป้าหมายและกรอบความเสี่ยงที่วางไว้ และเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน บลจ.ได้แต่งตั้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากการทำ Open Architecture ครอบคลุมหลากหลายกองทุนครบทุกประเภทสินทรัพย์จากหลายบริษัทจัดการกองทุนในไทย เป็นที่ปรึกษาการลงทุนในการแนะนำกองทุนที่บริหารจัดการโดย บลจ.ต่างๆ เพื่อให้กองทุน SCBCIO เป็นกองทุน One-stop ที่สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตตามสภาวะตลาด ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมและสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศแบบไร้ข้อจำกัด”นางนันท์มนัส กล่าว

จุดเด่นของกองทุน SCBCIO คือเป็นกองทุนผสมที่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง ETF ครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ โดยมีอัตราผลตอบแทนเป้าหมายที่ใช้เป็นตัวชี้วัดที่ 8% ต่อปี สำหรับระยะเวลาการลงทุนมากกว่า 3 ปีขึ้นไป

สำหรับมุมมองการลงทุนในช่วงเวลานี้ SCB ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนของกองทุนได้แนะให้มีกลยุทธ์การปรับพอร์ตโดยถือสินทรัพย์สภาพคล่อง เพื่อรอทยอยลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มทยอยเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว อาจส่งผลทำให้ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่มีความผันผวน แนะนำระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ เช่น กลุ่ม High Yield ของประเทศจีน ที่มีความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับประเทศรัสเซียและธนาคารในยุโรป

นอกจากนี้ แนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุนหุ้นกลุ่ม Growth ต่อ Value ที่ 50:50 เนื่องจากหุ้นกลุ่ม Quality Growth มีแนวโน้มทนทานต่อความผันผวน ส่วนกลุ่ม Value มีแนวโน้มได้อานิสงส์จาก Bond Yield ที่เพิ่มขึ้น พร้อมจับจังหวะเข้าสะสมตลาดหุ้นไทยและเวียดนาม เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนค่อนข้างจำกัด และ Valuation ของสองตลาดนี้เริ่มน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งแนะนำกระจายการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น (Inflation hedge)

กองทุน SCBCIO มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ หุ้นนอกตลาด (Private Equity) เป็นต้น โดยกองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และลงทุนในหน่วยลงทุนดังกล่าวตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป โดยจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งส่งผลให้มี net exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging) ตามความเหมาะสมตามสภาวการณ์ตลาดในแต่ละขณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน