“บล.เคทีบีเอสที” เปิดโผหุ้นถูกกระทบจีนล็อกดาวน์

HoonSmart.com>> “บล.เคทีบีเอสที” ประเมินจีนล็อกดาวน์หลายเมือง กระทบกลุ่มชิปปิ้ง โลจิสติกส์ พลังงานสูงสุด กังวลเศรษฐกิจจีนชะลอ กระทบปริมาณการขนส่ง โรงงานอาจทยอยลดกำลังผลิตย้ายหรือปรับสายการผลิตไปเมืองอื่น ด้านปริมาณการใช้น้ำมันลดลง

บริษัทหลักทรัพย์เคทีบีเอสที (KTBST) ออกบทวิเคราะห์หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ของจีน หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นจุดสูงสุดตั้งแต่มี COVID-19 ระบาดในประเทศจีน ส่งผลให้หลายเมืองในประเทศจีนเริ่มหันกลับมาใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง โดยการล็อกดาวน์ Shenzhen ส่งผลกระทบเชิงลบระยะสั้นต่อสินค้า IT , Electronics และ Automotive จากปัญหา supply chain disruption Shenzhen (มณฑลกวางตุ้ง) เป็นเมืองแรกที่เริ่มมาตรการ Lockdown ในวันที่ 14 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา อย่างน้อยจนถึงวันที่ 20 มี.ค.2565 จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Shenzhen มีมาตรการให้หยุดสายการผลิตทั้งหมด และให้พนักงาน Work from home และหยุดการบริการขนส่งสาธารณะทั้งหมด

ปัจจุบันเมือง Shenzhen มีประชากรราว 17.5 ล้านคน เป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้แก่ Huawei, Tencent, ZTE, DJI ,Foxconn ฯลฯ โดย GDP ของ Shenzhen คิดเป็น 2.6% ของประเทศจีน ต่อมามณฑล Jilin, เมือง Dongguan (มณฑลกวางตุ้ง) และ Langfang (อยู่ใกล้ปักกิ่ง) ได้ประกาศใช้มาตรการ lockdown ส่งผลให้ Toyota และ Volkswagen ประกาศปิดโรงงาน เนื่องจากมีโรงงานตั้งอยู่ในเมือง Changchun ในมณฑล Jilin

บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นกลุ่ม Shipping & Logistics (PSL และ TTA), และกลุ่ม Energy (PTTEP และ BANPU) คาดว่าจะ “underperform” SET เนื่องจากเป็น 2 กลุ่มที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากการ lockdown ของจีนอย่างเด่นชัด จากความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่จะกระทบการปริมาณการขนส่งสินค้าและการใช้น้ำมันที่ลดลง

ขณะที่หุ้นกลุ่ม Electronics และ IT Distributor แม้ว่ามีความเสี่ยงจาก supply chain disruption เนื่องจากเมือง Shenzhen เป็นที่ตั้งของผู้ผลิตชิ้นส่วน Electronics ยักษ์ใหญ่หลายบริษัท แต่ได้ปัจจัยบวกในด้านราคาหุ้นจากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ตามแนะนำ “ซื้อ” หุ้นที่ไม่มีความเสี่ยงจากผลกระทบจากการ lockdown ในประเทศจีน และมี catalyst เฉพาะตัวได้แก่ CKP (ซื้อ/เป้า 5.70 บาท) จากการลงนาม MOU tariff โครงการหลวงพระบางใน 1H22E, และหุ้นกลุ่ม Finance ได้ แก่ JMT (ซื้อ/เป้า 80.00 บาท) จากผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง และเริ่มเห็นความชัดเจน JV AMC และ TIDLOR (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท) จากสินเชื่อที่โตต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง

บล.เคทีบีเอสที มองการระบาดในรอบนี้มีความเสี่ยงที่จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ omicron ที่สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ปกติ และประชากรของจีนยังไม่มีการฉีดวัคซีน mRNA ซึ่งสามารถป้องกันสายพันธุ์ Omicron ได้ดีกว่าแบบเชื้อตาย

“เราประเมินว่าสถานการณ์การ lockdown กรณี Base case จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือน หนุนโดยการควบคุม COVID-19 ในประเทศที่เข้มงวด และใกล้เคียงกับจำนวนวันที่จีนเคย lockdown ในอดีต อย่าง Shijiazhuang (มีจำนวนประชาชนที่สูงใกล้เคียงกับ Shenzhen) หรือ Worst case ที่ 2-3 เดือนเท่า Wuhan เราประเมินว่าการ lockdown ข้างต้นจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขนส่ง logistics ที่ล่าช้า จากกระบวนการนำเข้า-ส่งออกผ่านกรมศุลกากรที่เข้มงวดมากขึ้น ขณะทีโรงงานจะทยอยปรับตัวผ่านการลดกำลังการผลิต หรือปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปเมืองอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งทำให้สินค้าที่ออกจำหน่ายอาจจะลดลง คล้ายกับสถานการณ์ในช่วงที่มีการ lockdown ในอดีต”บล.เคทีบีเอสที ระบุ

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมีดังนี้ หุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ (เรียงจากมากไปน้อย)

1. Shipping & Logistics: PSL, TTA, WICE, LEO จากความกังวลที่จะกระทบ Demand สินค้าจากจีนลดลง และการขนส่งที่ล่าช้า จากกระบวนการนำเข้า-ส่งออกผ่านกรมศุลกากรที่เข้มงวดมากขึ้น

2. Energy: PTTEP จากแนวโน้มราคาน้ำมันปรับตัวลง, TOP, SPRC, PTTGC จากกำไรสต๊อกน้ำมันลดลง และ BANPU จากราคาถ่านหินลดลง

3. Electronics: HANA, KCE จากความกังวล supply chain disruption มีสัดส่วนรายได้จากจีน

4. IT: COM7, SIS, SYNEX ระยะสั้นได้ รับผลกระทบจำกัด จากสต็อคสินค้าที่สูง เพื่อรองรับสถานการณ์สินค้า IT ที่ตรึงตัวในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ระยะยาวต้องรอดูสถานการณ์การผลิต และส่งออกสินค้าจากจีน

5. Automotive: SAT จาก supply chain disruption ในการผลิตรถยนต์

6. Tourism: ERW, MINT, CENTEL, SHR, AOT จากความกังวลนักท่องเที่ยวที่กลับมาช้ากว่าคาด

7. กลุ่มหุ้นที่พึ่งพารายได้จากจีนอย่างมีนัยยะ: NER, STA, EKH, SPA

ทั้งนี้ จีนกลับมาใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นจุดสูงสุดตั้งแต่มี COVID-19 ระบาดในประเทศจีน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุด วันที่ 15 มี.ค.2565 จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ปรับตัวลงเป็น 1,952 ราย จาก 14 มี.ค. ที่ทำสถิติสูงสุดรอบใหม่
ของการระบาดของ COVID-19 ในประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมาที่ 3,602 ราย และมี active case ที่ 16,524 ราย คิดเป็น 13% ของยอดผู้ติดเชื้อสะสมในจีน ส่งผลให้หลายเมืองในประเทศจีนเริ่มหันกลับมาใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง