ทริสลดเกรด’น้ำตาลมิตรผล’ เหลือ A หนี้สูง กำไรหด

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับน้ำตาลมิตรผลอยู่ที่ระดับ A จากเดิม A+ ณ เดือนก.ย.64 มีหนี้สินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท คาดสูงต่อเนื่องจะใช้งบลงทุนประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 65-66  ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลดลง  ปริมาณการผลิตน้ำตาลลดลง ต้นทุนเชื้อเพลิงสูง ธุรกิจเอทานอลและธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็ลดลง  มีหนี้ต้องชำระเฉียด 1 หมื่นล้านบาท แผนลงทุน 1 หมื่นล้านบาท มีแหล่งเงินเตรียมพร้อม

บริษัททริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของของ บริษัท น้ำตาลมิตรผล มาอยู่ที่ระดับ A จากเดิมที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต คงที่

การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและคาดว่าระดับหนี้จะอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากแผนการลงทุน อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความผันผวนของปริมาณอ้อยและราคาน้ำตาล ตลอดจนความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโรงงานน้ำตาลของบริษัทในต่างประเทศ ณ เดือนก.ย. 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 115 วัน ณ สิ้นเดือนก.ย. 2564 เทียบกับระดับ 80-90 วันในช่วงเดียวกันของปี 2562-2563

ในอนาคตทริสคาดว่าบริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2566 โดยส่วนใหญ่จะใช้ลงทุนในโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่และการซื้อโรงไฟฟ้าในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีแผนจะลงทุนในโรงงานวัสดุทดแทนไม้ในประเทศเวียดนามด้วย  คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 58% ในปี 2565-2566 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 7.2 เท่าในปี 2564 แต่จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 6.5 เท่าในปี 2566

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลระดับโลก ตลอดจนแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับ กระบวนการผลิตน้ำตาลที่มีประสิทธิภาพ ฐานการผลิตที่กระจายตัว และแหล่งรายได้ที่หลากหลาย

ผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการลดลงของปริมาณอ้อย จากภาวะภัยแล้ง และการลดลงของพื้นที่เพาะปลูกในหลายประเทศ ปริมาณการผลิตน้ำตาลของบริษัทลดลง 18% จากฤดูเก็บเกี่ยว 2561/2562 ธุรกิจเอทานอลและธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็ได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด- 19 และปริมาณอ้อยที่ขาดแคลนซึ่งส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น

แม้ว่าราคาน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 จะส่งผลให้กำไรของธุรกิจน้ำตาลในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบ้าง แต่รวม 9 เดือนแรกลดลงมาก จากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจไฟฟ้า และบริษัทบันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนในโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย รวม 240 ล้านบาท จากราคาน้ำตาลในประเทศที่ลดลงในช่วงโควิด ในขณะที่ต้นทุนการนำเข้าน้ำตาลดิบที่เพิ่มขึ้น

กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับระดับ 1.0-1.3 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562-2563 อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 12% เทียบกับระดับ 15%-18% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562-2563

แนวโน้มผลการดำเนินงาน จะยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่มาจากความผันผวนของราคาน้ำตาลและค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น คาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในปีประมาณการ ตามผลผลิตอ้อยและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณอ้อยจะเพิ่มขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยวปี 2565-2566 เนื่องจากปริมาณฝนและพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มมากขึ้น ทริสมีมุมมองว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ตลอดจนการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว

นอกเหนือจากธุรกิจน้ำตาลแล้ว บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอ้อยและน้ำตาล เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอล ปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้ารวม 650 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาการจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำกับหน่วยงานราชการของไทยรวม 272.8 เมกะวัตต์ ส่วนกำลังการผลิตเอทานอลสูงสุดนั้นอยู่ที่ 1.49 ล้านลิตรต่อวัน รายได้จากธุรกิจพลังงาน (ไฟฟ้าและเอทานอล) เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนโรงไฟฟ้าของบริษัท

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและเอทานอลรวมกันประมาณ 20% ของรายได้รวม ทั้งนี้ กระแสเงินสดที่มั่นคงจากการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงานมีส่วนช่วยพยุงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่เกิดภาวะราคาน้ำตาลตกต่ำได้บางส่วน

ทริสประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะมีหุ้นกู้จำนวน 4.5 พันล้านบาทและเงินกู้ระยะยาวประมาณ 4.5 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระรวมทั้งจะมีงบเพื่อการลงทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1 หมื่นล้านบาทและวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท ทริสยังมองว่าความสามารถที่บริษัทจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนภายนอกทั้งจากตลาดตราสารหนี้และเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ณ เดือนก.ย. 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่มีสิทธิเรียกร้องก่อน (Priority Debt) จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาทจากจำนวนหนี้สินทางการเงินทั้งหมดจำนวน 9.4 หมื่นล้านบาทที่ไม่รวมหนี้สินจากสัญญาเช่า หนี้สินทางการเงินที่มีสิทธิเรียกร้องก่อนส่วนใหญ่เป็นหนี้สินของบริษัทย่อยของบริษัท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีสิทธิเรียกร้องก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดอยู่ที่ระดับ 16% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% มาก ทริสจึงจัดให้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสี่ยงเรื่องการด้อยสิทธิในระดับที่ต่ำ