บจ.โกยกำไรปี 64 รวม 9.86 แสนลบ. พุ่งขึ้น 80% พลังงาน-เหล็ก-ปิโตรหนุน

HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ เปิดผลงานบริษัทจดทะเบียนปี 64 ยอดขายเติบโตสูง 23% เป็น 13 ล้านล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 1.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% ผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ทั้งน้ำมัน เหล็ก  การปรับธุรกิจรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดี  ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดการทำกำไรกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิดปี 62  ส่วนบจ. mai   มีกำไรสุทธิ  8,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 273.6%

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวม 757 บริษัท คิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 780 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) มีกำไรสุทธิ 592 บริษัท คิดเป็น 78.1% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

สำหรับ บจ.ใน SET มียอดขายรวม 13,131,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,557,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.3% กำไรสุทธิ 985,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.9% และ 7.5% ตามลำดับ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดปีก่อน สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นปี 2564 บจ. มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ระดับที่ 1.54 เท่า คงที่เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563

ทั้งนี้ หากพิจารณาเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า บจ. มีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีอัตรากำไรกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562

ในปี 2564 มี 3 ปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการเติบโต ได้แก่ การปรับตัวของราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น การปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่วิถีแบบใหม่ (New Normal) ให้รับมือสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และการผ่อนคลายมาตรการโควิดของไทย  สนับสนุนให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลักดีขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก ขนส่ง (ทางเรือ) ธุรกิจการแพทย์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง และธุรกิจภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีการฟื้นตัวอย่างมาก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนยานยนต์

ส่วนหมวดที่สร้างกำไรสุทธิสูงสุด ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค จำนวน 284,848 ล้านบาท เติบโตถึง 180.7% แซงหน้ากลุ่มธุรกิจการเงินที่มีกำไรสุทธิ 226,423 ล้านบาท เติบโต 23.2% และหมวดธนาคารที่มีกำไรสุทธิ 188,229 ล้านบาท เติบโต 29.8%

โดยหมวดเหล็กพุ่งแรงที่สุด  2,987.6 % มีกำไรสุทธิ 17,842 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิเพียง 578 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 873% เป็น 85,638 ล้านบาท

ขณะเดียวกันหมวดประกันภัยและประกันชีวิตขาดทุนมากสุดถึง  -1,013 ล้านบาท พลิกจากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 7,916 ล้านบาท ถือว่าแย่ลง 112.8% และหมวดท่องเที่ยวและสันทนากรขาดทุน 9,512 ล้านบาท เทียบกับปี2563 ที่มีผลขาดทุน 11,545 ล้านบาท ถือว่าดีขึ้น 17.6%

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2564 มียอดขายรวม 171,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% กำไรจากการดำเนินงาน 10,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.9% และกำไรสุทธิ 8,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 273.6%

อ่านข่าว

บจ.mai กำไรปี 64 โตแตะ 8,435 ลบ. กลุ่มอุตฯบริการสูงสุด