หุ้น THG-BH-CHG ขึ้นนำกลุ่มโรงพยาบาลหลังผู้ป่วยโควิดสูง-สถานการณ์ยูเครนไม่กระทบ

xHoonSmart.com>>หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลขยับขึ้นทั่วหน้า นำโดย THG-BH-CHG รับ Sentiment บวกจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศสูง เป็นบวก BCH, CHG อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ความมั่งคั่งของลูกค้าตะวันออกกลางสูงขึ้น เป็นบวกต่อ BH และ BDMS ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และยังจะได้รับผลบวกจากการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุฯ หลังหยุดไป 32 ปี

หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลปิดเช้าขยับขึ้นทั่วหน้า นำโดยหุ้น THG พุ่ง 6.70% ปิดที่ 55.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 230.13 ล้านบาท
หุ้น BH บวก 3.29% ปิดที่ 172.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 657.38 ล้านบาท
หุ้น CHG บวก 2.78% ปิดที่ 3.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 543.77 ล้านบาท
หุ้น VIBHA บวก 2.59% ปิดที่ 2.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มูลค่าซื้อขาย 45.90 ล้านบาท

บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ มองวันนี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศรายงานที่ 18,943 ราย (ผู้ติดเชื้อใหม่ 18,877 ราย, จากเรือนจำ 66 ราย) ลดลงจากวันก่อนหน้าที่ 21,162 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับสูง ถือเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มการแพทย์ อาทิ BCH และ CHG

บล.กรุงศรี ประเมินโรงพยาบาลจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากความขัดแย้งจากรัสเซีย-ยูเครน และเงินเฟ้อ โรงพยาบาลจะได้ประโยชน์จากการกลับมาของผู้ป่วยไทยโรคไม่เร่งด่วนและผู้ป่วยต่างชาติ แนวโน้มกำไร BCH และCHG ไม่สดใสจากรายได้เกี่ยวกับโควิดลดลง โดยประมาณการกำไรปี 65 ลดลง 73% และ 69% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม กำไร BH และ BDMS จะฟื้นตัว 86% และ 17% ตามลำดับ จากการปลดล็อกอุปสงค์คงค้างผู้ป่วยต่างชาติ BH และ BDMS เป็นหุ้นเด่น การดำเนินงานไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ

หุ้นโรงพยาบาลจะไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากมีผู้ป่วยจากสองประเทศนี้จำนวนเพียงเล็กน้อย ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจทำให้ความมั่งคั่งของลูกค้าตะวันออกกลางสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นสัดส่วนใหญ่ของผู้ป่วยต่างชาติในไทย ความขัดแย้งทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 5.28% ในก.พ. และทำให้ต้นทุนดำเนินงานสูงขึ้น

แต่โรงพยาบาลจะสามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นให้ผู้ป่วยปลดล็อกอุปสงค์คงค้างผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วนรายได้ที่ไม่ใช่โควิดรวม (BH, BDMS, BCH และ CHG) ฟื้นตัว 30% qoq เป็น 2.6 หมื่นล้านบาทใน ไตรมาส 4/64 แตะ 89% ของไตรมาส 4/62 (ก่อนโควิด) โมเมนตัมรายได้จะต่อเนื่องปีนี้เนื่องจากผู้ป่วยคลายกังวลในการเข้ารักษาในรพ. ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกโรงพยาบาล

การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์สูงขึ้น BH และ BDMS เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักหลังการเปิดเมืองในพ.ย. รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติของ BH และ BDMS เพิ่มขึ้น 28% qoq เป็น 5.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/64 แตะระดับ 61% ของระดับในไตรมาส 4/62 จึงคาดรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะเติบโต 24% yoy เป็น 2.3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ซึ่งจะมารักษาโรคซับซ้อนซึ่งมีค่ารักษาและอัตรากำไรขั้นต้นสูง BH และ BDMS จะได้ประโยชน์จากการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุฯ หลังหยุดไป 32 ปีรายได้เกี่ยวกับโควิดจะมีความสำคัญน้อยลง

จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันแตะระดับสูงสุดใหม่ใน 26 ก.พ. และอยู่สูงกว่า 20,000 รายส่วนการตรวจ RT-PCR รายวันเพิ่มขึ้น 28% qoq เป็น 54,807 รายช่วง 1 ม.ค. -19 ก.พ.แต่กระทรวงสาธารณสุขปรับลดราคาเบิกจ่าย UCEP โควิด ได้แก่RT-PCR ลง 27-31% และค่าห้องผู้ป่วยสีเขียวลง 20-33% (โรงพยาบาล, โฮสพิเทล, โรงพยาบาลสนาม, การกักตัวที่บ้านหรือชุมชน) เป็นเหมาจ่าย 6,000 บาทผู้ป่วยรักษาน้อยกว่า 7 วัน และ 12,000 บาทสำหรับผู้ป่วยที่รักษา 7 วันหรือมากกว่า การปรับลดนี้สะท้อนว่าจำนวนผู้ป่วยโควิดที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ทำให้รายได้สูงขึ้นในระดับเดียวกัน นอกจากนี้จำนวนผู้ป่วยโควิดคาดจะแตะระดับสูงสุดในเม.ย. และจะลดลงหลังจากนั้น จึงคาดว่าสัดส่วนรายได้เกี่ยวกับโควิดต่อรายได้รวมจะลดลงเป็น 37%, 44%, 10%, 10% จาก 56%, 52% 20%, 17% สำหรับBCH, CHG, BH และ BDMS ตามลำดับ

หุ้นเด่นของกลุ่ม คือ BH และ BDMS จากแนวโน้มกำไรสดใสเติบโต 3 ปี CAGR +39% และ 15% ตามลำดับจากการกลับมาของผู้ป่วยไทยโรคไม่เร่งด่วนและผู้ป่วยต่างชาติ

บล.บัวหลวง แนะ”ซื้อ”หุ้น BDMS ราคาเป้าหมาย 26 บาท เป็นตัวเลือกที่ดีท่ามกลางเหตุการณ์ความตึงเครียด และมีความไม่แน่นอนของการเมืองระดับโลกแบบนี้ ทำให้ตลาดผันผวนสูง แถมยังมีปัจจัยอัตราเงินเฟ้อเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราศึกษาความสัมพันธ์ของเงินเฟ้อทั่วไปกับผลประกอบการ BDMS พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกกับรายได้ 86% และกับอัตรากำไรขั้นต้น 74% แสดงให้เห็นว่าสามารถ Hedging เงินเฟ้อได้และมีความสามารถส่งผ่านราคาไปยังปลายทางได้ และเมื่อเทียบความสัมพันธ์กับราคาหุ้นพบว่าเป็นเชิงบวก 55% กับเงินเฟ้อทั่วไป และ 66% กับเงินเฟ้อพื้นฐาน

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานเป็นขาขึ้นทั้งในแง่รายได้ผู้ป่วยไม่ใช่โควิดที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากต่างชาติบินเข้ามา (พบยอดจองเข้ารักษาต่างชาติเพิ่มขึ้น QoQ ในไตรมาส 1/65 และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาระดับก่อนโควิด-19 แล้วในไตรมาส 4/64 และคาดภาพรวมปี 65 ดีขึ้นต่อเนื่อง ตาม utilization rate ที่เพิ่มขึ้น และหากรักษาระดับเดียวกับไตรมาส 4/64 ได้ ก็จะเป็น upside กับประมาณการกำไร

บล.คิงส์ฟอร์ด แนะ”ซื้อ”หุ้น CHG ราคาเป้าหมาย 4.26 บาท แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1/65 เบื้องต้นประเมินว่ามีโอกาสจะอ่อนตัวลง QoQ ได้จากการที่ในช่วงไตรมาส 4/64 มีการรับรายได้ภาระเสี่ยงมากกว่าที่ประมาณการของทางโรงพยาบาล แต่ภาพรวมจะยังคงจะโดดเด่นจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19

ขณะที่การดำเนินงานช่วงถัดไปหลังโควิด-19 เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ยังมีความน่าสนใจจากปัจจัยหนุนจากธุรกิจการรับจ้างบริหารโรงพยาบาล(ปัจจุบันมี 2 แห่ง ร.พ.เมืองพัทยา และศูนย์แพทย์ชุมชนเกาะล้าน เมืองพัทยา)

การรับผู้ป่วยโรคหัวใจจากร.พ.อื่น(ศูนย์หัวใจสิริธร ในไตรมาส 2/64, ร.พ.สมุทรปราการ ไตรมาส 4/64, ร.พ.ระยอง ไตรมาส 1/65

จำนวนโควต้าผู้ประกันตนที่สูงขึ้น และการเปิดโรงพยาบาลใหม่ โดยเฉพาะที่เป็นศูนย์เฉพาะทาง(คาดรพ.จุฬารัตน์ แม่สอด และ ศูนย์มะเร็งสุวรรณภมิ จะเปิดราวปี 65-66