FETCO คงเป้าดัชนีหุ้นปีนี้ 1,800 จุด ยกสถิติโลกศึกยูเครนฟื้นเร็ว โพลเชียร์แบงก์

HoonSmart.com>>ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยยืนเป้าหมายดัชนีหุ้นปี 65 ที่ 1,800 จุด อ้างสถิติสงคราม 30 ครั้งในรอบ 80 ปี  จบเร็วภายใน 3 สัปดาห์ คาดราคาน้ำมันพุ่งไม่สูงเกินไป  โอเปกช่วยผลิตแทนรัสเซีย มองหุ้นไทยระยะกลางขาขึ้น ผลสำรวจเดือนก.พ.ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าดีขึ้น  ยกหมวดธนาคารเด่นสุด ตามด้วยพาณิชย์ พลังงาน ส่วนระยะสั้นแนะหลบภัย ทองคำ-บอนด์-เงินดอลลาร์ 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผย สภาธุรกิจตลาดทุนไทยยังคงเป้าดัชนีหุ้นปีนี้ไว้ที่ 1,800 จุด  แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน คาดว่าจะมีผลในระยะสั้น หากราคาพลังงานไม่ปรับขึ้นสูงเกินไป เมื่อย้อนดูความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง พบว่าหุ้นโลกจะฟื้นตัวได้เร็ว

สถาบันการเงินขนาดใหญ่ระดับนานาชาติได้รวบรวมสถิติไว้ พบว่า ในรอบ 80 ปี มีสงครามเกิดขึ้น 30 ครั้ง ค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นมักตกเร็วและแรง แต่ก็ฟื้นตัวเร็วเช่นกัน โดยเฉลี่ยใช้เวลา 3 สัปดาห์จากวันเกิดเหตุการณ์และไปสู่จุดต่ำสุด ตลาดหุ้นจะปรับลดลงประมาณ 6-8% และจะกลับเข้าสู่ระดับเดิมภายในเวลา 3 สัปดาห์เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับผลกระทบกับเศรษฐกิจที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ถ้าน้อยกว่า 12 เดือนให้หลัง ก็จะทำให้หุ้นก็จะปรับตัวขึ้นเกินกว่าระดับเดิม แต่หากเศรษฐกิจแย่หุ้นก็จะตก

สถานการณ์รอบนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงไปสู่จุดต่ำสุดประมาณสัปดาห์ก่อนราว 8% ใกล้เคียงกับสถิติในอดีต ปัจจัยเสี่ยงคือ การส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปหรือไม่ ซึ่งถือเป็นกระเป๋าเงินใหญ่สุดของรัสเซีย แต่เชื่อว่าการจะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมได้นั้น สหรัฐและชาติพันธมิตรจะต้องมีการหารือกับทางโอเปกก่อน จึงยังไม่น่าจะดำเนินการได้เร็ว

ปัจจุบันรัสเซียส่งออกน้ำมัน 5-6 ล้านบาร์เรล/วัน ซาอุดิอาระเบีย  มีกำลังการผลิตเหลือ ถ้ารวมประเทศที่เหลืออยู่และอิหร่านเข้าไปด้วยก็น่าจะเพียงพอ ทำให้สหรัฐและชาติพันธมิตรยุโรปยังไม่น่ารีบจะคว่ำบาตรรัสเซีย จนกว่าจะตกลงกับโอเปกได้ แม้จะมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่ไม่ได้เป็นความเสี่ยงที่เมื่อรัสเซียถูกตัดออกไปจนกระทบต่อกำลังการผลิตน้ำมัน เพราะยังมีที่อื่นที่พร้อมที่จะทำ  อุ่นใจได้ว่ายังมีน้ำมันที่เหลืออยู่ และน่าจะเป็นหนึ่งในผลกระทบที่คงไม่ส่งผลกระทบรุนแรง หรือทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไม่หยุด

อย่างไรก็ตาม  มองว่าราคาน้ำมันจะไม่พุ่งสูงจนเกินไป  ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้บ้าง และหากอิงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต Downside risk จากสงครามฯ ครั้งนี้ อาจจะลดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ไม่ได้ขยายวงกว้างออกไป หากแก้ปัญหาตรงนี้ได้ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ก็มองว่าระยะกลาง หุ้นไทย น่าจะปรับตัวขึ้นมาได้และเชื่อว่าปลายปีนี้ ยังเป็นขาขึ้น แนะนำระยะกลาง-ยาว ลงทุนได้

“ในช่วงที่มีสงคราม ระยะสั้นแนะนำลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือเงินดอลลาร์ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยที่สุด”

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 113.03 เพิ่มขึ้น 20.4% ผลสำรวจ ณ เดือนก.พ. 2565 นักลงทุนบุคคลปรับลด 25.6% อยู่ที่ระดับ 90.53 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เพิ่ม 18.7% อยู่ที่ระดับ 128.57 กลุ่ม สถาบันในประเทศปรับลด 24.4% อยู่ที่ระดับ 94.44 และ นักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 185.7% มาอยู่ที่ระดับ 142.86

นักลงทุนมองว่าเงินทุนไหลเข้าเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือความคาดหวังต่อการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย—ยูเครน และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดใน รัสเซีย—ยูเครน รองลงมาคือ ความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน

ขณะเดียวกันนักลงทุนสนใจลงทุนในหมวดธนาคาร (BANK) มากที่สุด รองลงมาคือหมวดพาณิชย์ (COMM) และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERGY) ขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR) ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือหมวดแฟชัน่ (FASHION) และหมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)