HoonSmart.com>>หุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นเป้าหมายนักลงทุนต่างชาติ ฟันด์โฟลว์เลือกลงทุน หลายปัจจัยหนุนผลงานปี 65 โตดีขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจฟื้นตัว, ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น, บอนด์ยีลด์ปรับขึ้น รวมถึง Valuation ยังถูก คาดผลกำไรกลุ่มเติบโต 10-15% ชะลอจากปี 64 ที่กำไรเติบโตราว 30% คาดว่าจะยังคงลดการตั้งสำรองฯต่อเนื่อง แต่ไม่มากเหมือนปีที่ผ่านมา พร้อมเชียร์ KBANK, BBL, SCB, TISCO เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย เปิดเผยว่า ในปี 2565 กำไรของกลุ่มธนาคารคาดว่าจะเติบโต 10% ซึ่งชะลอจากปี 2564 ที่กำไรเติบโตเกือบ 30% จากลดการตั้งสำรองฯมาก ขณะที่ปี 2565 การตั้งสำรองฯยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการลดลงไม่เท่าที่ผ่านมา และค่าใช้จ่ายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และ NPLs ยังอยู่ในช่วงของการพักชำระหนี้ การช่วยเหลือยังมีอยู่
สำหรับสินเชื่อของกลุ่มธนาคารในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 4.5% ชะลอจากปี 2564 ที่สินเชื่อโตราว 6% ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบจากสถานการณ์ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาสูงกว่า 100 เหรียญฯ/บาร์เรล ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งต้องดูจะมีความรุนแรงยาวนานแค่ไหน และราคาน้ำมันที่สูงนี้ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจ (Corporate) อาจทำให้ต้องมีการกู้เงินเพื่อทำธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่จะต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี กลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แต่คาดว่ากนง.จะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 ซึ่งแบงก์ชาติคงจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ถึงจะได้เห็นรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารยังได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งธนาคารเข้าไปลงทุนเพิ่ม แต่หลัก ๆ รายได้ของธนาคารมาจากสินเชื่อ
นายธนเดช กล่าวต่อว่า ยังคงแนะนำซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร เพราะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครน แต่ช่วงสั้นให้ระวังการลงทุน และรอดูสถานการณ์ยูเครน เพราะถ้าแย่มาก จะกระทบทั้งเศรษฐกิจ และการเงินโลก กลุ่มธนาคารเวลานี้เหมาะที่จะลงทุนระยะยาว เพราะระยะสั้นจะต้องรอดูผลกระทบรอบข้างก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจของรัสเซียคงจะเข้าสู่วิกฤตทางการเงินไปอีกหลายปี
พร้อมแนะนำซื้อหุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 174 บาท และ BBL ราคาเป้าหมาย 162 บาท
นายปรเมศร์ ทองบัว รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้ากลยุทธ์และกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารมีความน่าสนใจลงทุน เนื่องจากได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจขาขึ้น และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงได้ผลดีจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield)ที่เป็นขาขึ้นด้วย นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มธนาคารปัจจุบันยังมีการเทรด P/E ที่ต่ำเฉลี่ย 8 เท่า ถือว่าไม่แพง
โดยแนะนำซื้อหุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 165 บาท ปัจจุบันเทรด P/E แค่ 8 เท่า, ซื้อ BBL ราคาเป้าหมาย 158 บาท เทรด P/E ใกล้ ๆ 8 เท่า และซื้อ TISCO ราคาเป้าหมาย 115 บาท เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี
“ภาพเศรษฐกิจขาขึ้นจะให้น้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเป้าหมาย Fund Flow ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก และหุ้นในกลุ่มธนาคารก็เป็นเป้าหมายที่มองอยู่”นายปรเมศร์กล่าว
นอกจากนี้ยังคาดการณ์กำไรของกลุ่มธนาคารในปี 2565 จะเติบโต 7.3% และอาจมี upside จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีกว่าคาด และลดการตั้งสำรองฯต่ำลง โดยคาดว่าสินเชื่อกลุ่มแบงก์จะเติบโต 3.5-4.0% แต่ก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้ 6-7% จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ส่วน NPLs อาจจะทรงตัวได้จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้ NPLsอาจไม่มาก
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มหลักที่ชอบ เนื่องจากได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับ Valuation ยังไม่แพง โดยเทรด P/E เฉลี่ยของกลุ่มแค่ 8.6 เท่า และ P/BV 0.7 เท่า ส่วนอัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend yield) ถึง 4%
สำหรับกำไรของกลุ่มธนาคารในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 15% หลัก ๆ มาจากการตั้งสำรองฯที่ลดลง ส่วน NPLs ก็ไม่น่ากังวลเพราะเศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมแนะนำหุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 173 บาท, KBANK ราคาเป้าหมาย 178 บาท และ SCB ราคาเป้าหมาย 167 บาท