โบรกฯส่องหุ้นเดือนมี.ค.ผันผวน ฟันด์โฟลว์หนุน 3 กูรูเชียร์ 13 หุ้น

HoonSmart.com>>โบรกเกอร์ส่องทิศทางลงทุนเดือนมี.ค.มีโอกาสผันผวน จาก 2 ปัจจัยหลักทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ยังต้องจับตาดู อีกทั้งเดือนมี.ค.จะมี XD Effect ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ดัชนีฯจะปรับตัวลง เชื่อต่างชาติยังซื้อหุ้นไทย  3 กูรูเชียร์ลงทุนหุ้น KBANK, SCB, OSP, CENTEL, AOT, BEC, KTC, PTTEP, TOP, CPALL, CRC, BDMS, TTB คาดกรอบไว้ที่ 1,600-1,720  

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในเดือนมี.ค.มี 2 เรื่องใหญ่ที่จะต้องติดตาม ทั้งเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะปรับขึ้น แต่จะต้องดูว่าจะปรับขึ้นเท่าไร ถ้าไม่ขึ้นแรงก็มีโอกาสที่ตลาดจะรีบาวด์ได้ และต้องรอดูด้วยจะมีการลดขนาดงบดุลด้วยหรือไม่ อย่างไร

นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครน ก็เป็นเรื่องที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด จะมีการขนาดวงกว้างออกไปหรือไม่ แต่ขณะนี้ตลาดมองว่าจะอยู่ในวงจำกัด ซึ่งตอนนี้ก็ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าทั้งสองเรื่องออกมาในทิศทางที่ดี ตลาดต่างประเทศก็จะปรับขึ้นได้มากกว่าตลาดหุ้นไทย เพราะที่ผ่านมาต่างประเทศปรับตัวลงไปมากกว่า  แต่ถ้าทิศทางออกมาไม่ดี ตลาดหุ้นไทยก็จะดูดีกว่าตลาดต่างประเทศ ทำให้ยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นหลุมหลบภัยที่ดี ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกน้อย ถ้ามีสงคราม เพราะไม่เกี่ยวกับไทยอยู่แล้ว และมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว เพราะไทยไม่ค่อยขึ้นดอกเบี้ยอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้รับผลกระทบมากกว่า

อีกทั้งในเดือนมี.ค.จะมี XD Effect ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ดัชนีฯจะปรับตัวลง ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนมี.ค.ตลาดมีโอกาสปรับขึ้น แต่จะปรับลงในช่วง 2 สัปดาห์กหลังของเดือนมี.ค. จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในเดือนมี.ค.ไว้ที่แนวรับ 1,650-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,700-1,720 จุด

พร้อมแนะนำหุ้นที่น่าลงทุนในเดือนมี.ค.เป็นหุ้นธีมกลุ่มเปิดเมือง เช่น กลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK, SCB กลุ่มค้าปลีก OSP  กลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งจะมีแนวโน้มการเติบโตในทางบวก แนะนำ CENTEL, AOT นอกจากนี้ยังน่าสนใจหุ้น BEC ที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ และหุ้น KTC ที่อาจจะเล่นเก็งกำไรได้ หลังจากที่ปรับตัวลงไปมาก ส่วนหุ้นในกลุ่มน้ำมัน ถ้าปรับตัวขึ้นก็แนะนำขาย เพราะถ้าสงครามจบราคาน้ำมันก็จะปรับตัวลง แต่ถ้าราคาน้ำมันยังทรงตัวสูงก็จะได้ Stock gain ด้านผลประกอบการปี 64 ที่ออกมาส่วนใหญ่ก็ออกมาดี การปรับประมาณการกำไรสูงขึ้น หุ้นที่แนะนำดังกล่าวก็มีบางตัวที่งบฯปี 64 ออกมาดี แต่ถึงงบฯไม่ดีปี 64 แต่ทิศทางปี 65 ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตดี

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในเดือนมี.ค.มีโอกาสที่จะผันผวน จากปัจจัยหลักสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครน และรัสเซีย และการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ด้วย ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศจะพุ่งขึ้นหรือไม่

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยยังน่าลงทุนในเดือนมี.ค. เพราะเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังซื้อหุ้นไทยอยู่ โดยแถบอาเซียนนับจากต้นปี 65 ถึงปัจจุบัน(25 ก.พ.)ซื้อมาตลอดเป็นบวก 1-3% โดยเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่(Emerging Market) เพราะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ช้าสุดหลังจากมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ดังนั้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจใน Emerging Market จึงอยู่ในทิศทางที่ดี อีกทั้งตลาดเกิดใหม่นี้ยังมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อน้อยกว่าฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็น้อย หุ้นขนาดใหญ่จึงเป็นเป้าหมายการลงทุน อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคาร ก็แนะนำ KBANK ราคาเป้าหมาย 170 บาท, SCB ราคาเป้าหมาย 146 บาท ซึ่งได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield)ปรับขึ้นด้วย

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มพลังงานก็น่าสนใจลงทุนหากความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครนยังอยู่ แนะนำ PTTEP ราคาเป้าหมาย 149 บาท, TOP ราคาเป้าหมาย 63.50 บาท, หุ้นในกลุ่มค้าปลีก ได้อานิสงส์จากการเปิดเมือง ทำให้ยอดขายสาขาเดิมเป็นบวก แนะนำ CPALL ราคาเป้าหมาย 79 บาท, CRC ราคาเป้าหมาย 43.25 บาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 64 ส่วนใหญ่ออกมาใกล้เคียงคาด ทำให้มองว่าคงจะไม่มีการปรับประมาณการมากนัก และหุ้นที่แนะนำก็มีทั้งที่ผลประกอบการปี 64 ออกมาดี และบางตัวก็ออกมาไม่ดี แต่ที่แนะนำเนื่องจากมีแนวโน้มที่ผลประกอบการจะออกมาดีในปีนี้ ซึ่งฝ่ายวิจัยยังคงเป้าดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,850 จุด มี upside 10% จากดัชนีฯ 1,680 จุด สำหรับกรอบแกว่งเดือนมี.ค.ให้ไว้ที่ 1,620-1,718 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ในช่วงที่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครน และรัสเซีย ยังมีความไม่แน่นอน และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุน จึงมองว่าการเข้าลงทุนหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดีจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 64 ส่วนใหญ่ต่างก็ออกมาใกล้เคียงกับตลาดคาดไว้

ทั้งนี้ มีหลายบริษัทที่น่าสนใจเข้าลงทุนได้ อย่างหุ้นพวกสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity) ต้นน้ำ แนะนำหุ้น TOP มองว่าค่าการกลั่นจะยังดีอยู่ หากแม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลง, หุ้นในกลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPALL, หุ้นในกลุ่มอาหาร แนะนำ OSP, หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ BDMS และหุ้นในกลุ่มธนาคาร แนะนำ TTB ซึ่งหุ้นที่แนะนำนี้ต่างก็มีผลประกอบการออกมาดี และยังมีแนวโน้มที่จะดีต่อเนื่องในปีนี้ด้วย ทำให้มีโอกาสที่จะแข็งแกร่งกว่าตลาด พร้อมให้กรอบการแกว่งสำหรับเดือนมี.ค.โดยมีแนวรับ 1,620 จุด แนวต้าน 1,720 จุด