GULF กำไร 7,670 ลบ.ปี’64 ออลไทม์ไฮ คาดปีนี้รายได้พุ่งขึ้น 60%

HoonSmart.com>>”กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯ” สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ฟาดกำไรจากการดำเนินงานปี 64 เท่ากับ 8,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า IPP เปิดใหม่ ผลตอบแทนจาก INTUCH  โชว์ศักยภาพก่อหนี้ขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท บอร์ดแจกปันผล 0.44 บาท เท่ากับ 88%ของกำไร  XD 4 มี.ค.นี้  ส่วนเป้าหมายปี 65  คาดรายได้เพิ่มขึ้น 60%  เพิ่มกำลังการผลิต 1,547 MW เป็น 9,422 MW  

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2564 มีกำไรสุทธิ 7,670.30 ล้านบาท เท่ากับกำไรหุ้นละ 0.65 บาท เพิ่มขึ้น 79.1% เทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 4,282.11 ล้านบาท หรือ 0.39 บาทต่อหุ้น เฉพาะไตรมาสที่ 4/2564 มีกำไรสุทธิ 3,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.6% จากไตรมาสที่ 3/2564 ที่มีกำไรจำนวน 1,588 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 65.0% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,844 ล้านบาท

GULF มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% เทียบกับปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เฉพาะไตรมาสที่ 4  ทำได้จำนวน 2,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,488 ล้านบาท หรือ 120% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ในเดือนมี.ค. และต.ค.2564 รวมถึงเงินปันผลรับจาก INTUCH จำนวน 2,349 ล้านบาทและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอีกจำนวน 1,093 ล้านบาท

ในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 52,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.4%จากจำนวน 35,869 ล้านบาทในปีก่อน มาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 40,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.3% ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 6,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120% ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% รายได้ค่าบริหารจัดการ 474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.4% รายได้อื่นๆ 2,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 363.2% และส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน)จากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า จำนวน 2,886 ล้านบาท หรือ 17.2% เทียบกับปี 2563

โครงสร้างรายได้ มาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติสัดส่วน 76% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 74.7% ส่วนรายได้อื่นๆในไตรมาส 4  จำนวน 31 ล้านบาท และรวมทั้งปี 2564 อยู่ที่ 2,516 ล้านบาท โดยหลักเป็นเงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 2,347 ล้านบาท ซึ่งบันทึกในไตรมาสที่ 1 และ 3 เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 42% ในปี 2564 จากปี 2563 ถือ 40% รับเงินปันผลเพียง 440 ล้านบาท แต่บริษัทจะบันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ในฐานะบริษัทร่วม แทนรายได้จากเงินปันผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย ในปี 2564  27.3% ลดลงเล็กน้อยจาก 27.6% ในปี 2563 เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 9% จาก 244.51 บาท/ล้านบีทียู เป็น 266.02 บาท/ล้านบีทียู  ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยลดลง 29% (จาก -0.1188 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ถึง 86% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อัตรากำไร EBITDA Margin   เท่ากับ 41.9% เพิ่มขึ้นจาก 37.6% ในปี 2563 โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้เงินปันผลรับจาก INTUCH

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.77 เท่า ซึ่งสูงขึ้นจาก 1.47 เท่า ณ สิ้นปี 2563 เนื่องจาก GULF ได้ทำการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า GSRC และ GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 5,300 เมกะวัตต์ ประกอบกับ GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อนำมาคืนเงินกู้บางส่วนจากสถาบันการเงินที่กู้มาเพื่อชำระค่าหุ้นของ INTUCH อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า ทำให้ GULF ยังมีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า รายได้รวมของปี 2565 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 60% จากปี 2564 เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมี.ค.และต.ค. 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind)  คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบ 128 เมกะวัตต์ ภายในไตรมาส 2  ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของกลุ่ม GULF1 ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดดำเนินการอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ภายในปี 2565  จะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นจาก 7,875 เมกะวัตต์ ในปี 2564 เป็น 9,422 เมกะวัตต์ในปี 2565 นอกจากนี้ ในปี 2565 GULF จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 และโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ระยะที่ 1 ที่ประเทศโอมาน ประกอบกับจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีจากการลงทุนใน INTUCH ด้วย

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า GULF เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  นอกจากนี้ยังได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่นำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) เช่นธุรกิจ Data Center รวมถึง Cloud Computing หรือธุรกิจเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีความสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยจะขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้โตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ GULF ด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.44 บาท เท่ากับ 88% ของกำไรต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 7 มี.ค. ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 มี.ค. และ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เม.ย.2565