PTT ฟันกำไร 1 แสนล. ปันผลสูงปี’64 จ่อบุก ‘ดิจิทัล’ ขายเหรียญ-ลงทุน

HoonSmart.com>> “ปตท.”มาตามนัด ฟาดกำไรปี 64 กว่า 108,363 ล้านบาท ได้แรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมี-การกลั่น ทั้งกลุ่มมีกำไรสต๊อกน้ำมัน 46,000 ล้านบาท พลิกจากปีก่อนขาดทุนจากสต๊อก 19,000 ล้านบาท บอร์ดใจดีแจกปันผลอีกหุ้นละ 0.80 บาท XD 3 มี.ค. รวมทั้งปีจ่าย 2 บาท สูงกว่าปี63 ให้เพียง 1 บาท เตรียมความพร้อมบุกสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนปลุกหุ้น OR-SCC ต่างชาติซื้อหุ้นไทยกว่า 6 พันล้านบาท ได้หลายเด้งเงินบาทแข็ง 

บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2564 มีกำไรสุทธิ 108,363.41 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 3.79 บาท เพิ่มขึ้นมากเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 37,765.81 ล้านบาท หรือ 1.32 บาทต่อหุ้น เฉพาะไตรมาสที่ 4/2564 มีกำไรสุทธิ 27,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% จากไตรมาสที่ 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 23,653 ล้านบาท และเติบโตขึ้นมากจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 13,147 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้บริษัทมีกำไรสูงกว่า 1 แสนล้านบาทในปี 2564 มาจาก EBITDA จำนวน 427,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202,284 ล้านบาท หรือ 89.6% โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก Accounting GRM เพิ่มขึ้นจากขาดทุน 0.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใน ปี 2563 เป็นกำไร 5.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์

นอกจากนี้ในปี2564 กลุ่มปตท.มีกำไรสต๊อกน้ำมันประมาณ 46,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปี 2563 มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 19,000 ล้านบาท

คณะกรรมการบริษัทปตท. มีมติอนุมัติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น พิจารณาการจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.80 บาท กำหนดขึ้น XD วันที่ 3 มี.ค.2565 เพื่อจ่ายเงินวันที่ 29 เม.ย. 2565  หลังจากได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 1.20 บาท รวมทั้งปีแจกหุ้นละ 2 บาท รวมทั้งสิ้น 57,126 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 บริษัทจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 1 บาท  ทั้งนี้ เงินปันผลที่จะจ่าย 0.80 บาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 2% เทียบกับราคาปิดที่ 40 บาท

บอร์ดปตท.เสนอให้พิจารณาอนุมัติแผนการจัดหาเงินกู้ 5 ปี (ปี 2565 – 2569) ภายในวงเงินเทียบเท่า 200,000 ล้านบาท และพิจารณาอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของ ปตท. และการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 33 และข้อ 35   โดยข้อ 33 เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์แก่ประชาชนในราคาที่ตราไว้หรือในราคาสูงกว่าหรือตํ่ากว่าราคาที่ตราไว้ตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในขณะนั้น ตลอดจนออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน รวมถึงบุคคลใด ๆ ตามกฎหมายดังกล่าว และข้อ 35 เป็นจัดตั้งลงทุน เข้าหุ้นในกิจการค้าใด ๆ  รวมถึง กิจการสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ กับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ ซื้อขาย แลกเปลี่ยนลงทุน

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายปี 2565 จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 465,128 ล้านบาท เนื่องจากจะมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงงานโอเลฟินส์ และปิดซ่อมบำรุงโรงงาน HDPE และโรงกลั่น  แต่ได้กำลังการผลิตใหม่จาก Allnex เพิ่มเข้ามา จะเริ่มบันทึกกำไรเข้ามาในไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไป ซึ่ง Allnex มีรายได้ปีละประมาณ 2 พันล้านยูโร ส่วนงบลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2569) ตั้งไว้มูลค่า 608 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแผนจะออกหุ้นกู้ระยะยาว 10-30 ปี วงเงินไม่เกิน 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่เกินช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 17 ก.พ.2565 ดัชนีปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง ปิดที่ระดับ 1,711.58 จุด เพิ่มขึ้น 10.13 จุด หรือ +0.60% มูลค่าซื้อขาย 101,538.45 ล้านบาท ฝีมือนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 6,315.02 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขาย 4,680.59 ล้านบาท และสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,987.12 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติไม่เพียงซื้อหุ้นเท่านั้น มีการซื้ออนุพันธ์สุทธิ 3,530 ล้านบาท ดันค่าเงินบาทปิดที่ 32.18 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสวนทางภูมิภาค

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า  หุ้นไทยปรับตัวขึ้นชดเชยจากเมื่อวานนี้ตลาดปิดทำการ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นได้รีบาวด์ขึ้นจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน  แนวโน้มยังมองตลาดในทางบวกอยู่ โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Value play ที่จะเคลื่อนไหวได้ดีจากฟันด์โฟลว์ ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านบาท เงินบาทแข็งค่า 3% ดีสุดในภูมิภาคมาที่ 32.19 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ทำให้เงินไหลเข้าทั้งตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตร ทิศทางตลาดฯจึงเป็นลักษณะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มเล่น มีการขายหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงรับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อรถ EV ของรัฐบาล อาทิ EA  แต่ยังมีการเลือกซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้วยบางตัว เช่น PJW,CWT  นอกจากนี้ยังมีการหาหุ้นใหญ่พื้นฐานแกร่ง แต่ราคายังขยับขึ้นน้อยกว่าตลาด แรงซื้อพุ่งเป้าหุ้น OR และ SCC  ทำให้บริษัทปูนซิเมนต์ไทยปรับตัวขึ้นแตะ 400 บาท อีกครั้ง ในรอบกว่า 3 เดือนนับจากวันที่1 พ.ย. 2564  ขณะที่นักวิเคราะห์ 12 ราย จากทั้งหมด 15 รายแนะนำให้ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 472 บาท  รวมถึงหุ้นค้าปลีก และท่องเที่ยว เช่น MINT ปิดที่ 32.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.55%