HoonSmart.com>> “เมืองไทย แคปปิตอล” มั่นใจพอร์ตสินเชื่อปี 65 เติบโตตามเป้าทะลุ 1 แสนล้านบาท ลุยปล่อยกู้สินเชื่อรากหญ้าแบบครบวงจร ทั้งจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อส่วนบุคคลและที่ดิน พร้อมเร่งทำการตลาด โปรดักส์สินเชื่อจักรยานยนต์ใหม่ และสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า “ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง” ส่วนผลงานปี 64 พอร์ตสินเชื่อโตตามเป้า 25-30% กำไรสุทธิ 4,945 ล้านบาท จ่ายปันผล 0.37 บาท XD 28 เม.ย.65
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ผู้นำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และนาโนไฟแนนซ์ของเมืองไทย เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2565 ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อจะขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 100,000 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลักคือ เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) และธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่ คือ เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) และเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ (MTPL) เป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำธุรกิจในอนาคต โดยมีการวางแผนการทำตลาดทั้งลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการเข้าหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการผ่านการดำเนินงานของสาขาที่มีบริการมากกว่า 5,800 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงการเปิดสาขาใหม่กว่า 700 สาขาต่อปี
ส่วนแผนการเติบโตในอีก 4 ปี ข้างหน้าคือปี 2569 บริษัทฯวางเป้าพอร์ตสินเชื่อทะลุ 200,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว เทียบปี 2565 ที่วางเป้าทะลุ 100,000 ล้านบาท ซึ่งการจะก้าวสู่เป้าหมายดังกล่าว บริษัทฯต้องเติบโต 20-25% ต่อปี ตลอด 4 ปี รวมทั้งควบคุมหนี้เสียไม่เกิน 2% และลดดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสมกับลูกค้า
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับเงื่อนไขในการให้บริการที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ MTC ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน โดยให้พนักงานรับผิดชอบการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของสาขา โดยการเปิดสาขา เน้นจุดที่มีชุมชน และมีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมากเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าและลดข้อร้องเรียน
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในอนาคต นอกจากธุรกิจหลักของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล ที่เน้นเรื่องสินเชื่อทะเบียนรถ, สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ,สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อที่ดิน แล้ว ในปี 2565 บริษัทฯ ได้เร่งทำการตลาดเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด ที่ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2565 จะมียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 10,000 ล้านบาท และบริษัท เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ จำกัด ที่ให้บริการซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง กับกลุ่มลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่มาเพิ่มเติม โดยการเสนอสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ,คอมพิวเตอร์ , เครื่องใช้และของใช้ในบ้าน ตามนโยบาย ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง ซึ่งทั้ง 2 บริษัท ถือหุ้นโดยเมืองไทย แคปปิตอล เกือบ 100%
“มั่นใจแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ความต้องการสินเชื่อกลับมาเติบโตได้ดี และรัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณคลายล็อกดาวน์เพิ่มเติม ทำให้บริษัทฯสามารถรุกตลาดและขยายสาขาได้มากขึ้น อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากการเปิดบริการเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ ทำให้ขยายฐานลูกค้าและกลุ่มสินเชื่อให้มีความหลากหลาย ทำให้เป็นปัจจัยผลักดันสินเชื่อเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง”นายชูชาติ กล่าว
แม้ภาพรวมการแข่งขันในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถ และสินเชื่อส่วนบุคคลในระดับรากหญ้าจะมีความรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ด้วยโมเดลการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ มีความรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับตัวสูงขึ้น และส่วนหนึ่งมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่บริษัทฯยังคงรักษาระดับความสามารถทำกำไรได้ จากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ตัวเลขผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 4,945 ล้านบาท โดยในปี 2564 มีรายได้รวม 16,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,286 ล้านบาท หรือ 8.73% เทียบปี 2563 มีรายได้รวม 14,733 ล้านบาท
“ภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ของ MTC ออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง และเรายังคงรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.39% เท่านั้น โดยในปี 2564 ยอดพอร์ตสินเชื่อรวม 91,812 ล้านบาท เติบโต 29.37% เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวมในปี 63”นายชูชาติ กล่าว
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2564 (ม.ค.-ธ.ค.2564) ในอัตรา 0.37 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 เม.ย.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 17 พ.ค.2565