“คิงส์ฟอร์ด” วางแนวรับแรก 1,680 จุด แนะ BCP-TU

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด วางแนวรับวดัชนีอยู่ที่ 1,670-1,680 จุด แนวต้าน 1,690-1,700 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรปร่วงต่อกังวลรัสเซียบุกยูเครน ประธานเฟดสาขาเซ็นต์ หลุยส์ หนุนเร่งขึ้นดอกเบี้ย 1% ภายในเดือนก.ค.นี้ กดดันบอนด์ยีลด์ปรับขึ้นแตะ 1.986% ปัจจัยในประเทศติดตาม ครม.แก้ไขน้ำมันแพง

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ วางแนว Filter แนวรับ SET ที่ 1,670-1,680 จุด แนวต้าน 1,690-1,700 จุด ทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว หุ้น Large Cap ที่เป็นเป้าหมายของ Fund Flow ต่างชาติ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ KBANK, SCB, BBL สื่อสาร ADVANC, INTUCH ค้าปลีก CPALL, HMPRO, MAKRO เก็งกำไรกลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP, BCP, TOP

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลงจากความกังวลรัสเซียอาจบุกยูเครน โดยสหรัฐได้สั่งย้ายสถานทูตจากกรุงเคียฟไปเมืองลวิวอยู่ทางตะวันตกของยูเครนห่างจากพื้นเสี่ยง ดัชนียังถูกกดดันจากแนวโน้มเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า หลังประธานเฟดสาขาเซ็นต์ หลุยส์ เจมส์ บูลลาร์ด เป็นคณะกรรมการมีสิทธิ์โหวต หนุนให้เร่งขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 1 % ภายใน ก.ค. นี้ โดย CME Fed Watch เผยมีโอกาส 55% เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้งในปีนี้ , 88% จะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม 16 มี.ค. และ 95% ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1 % ใน มิ.ย. ส่งผลให้ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 1.986% และ VIX Index +3.55% อยู่ที่ 28.33 สะท้อนตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนสูง

ปัจจัยติดตามวันนี้ นายกเยอรมันจะเยือนยูเครนและรัสเซียเพื่อเจรจาหาข้อยุติ โดยเยอรมันเผยไม่สนับสนุนให้ยูเครนเข้ากลุ่ม NATO ซึ่งน่าจะผลให้สถานการณ์ดีขึ้น หากเทียบสถานการณ์รัสเซียบุกไครเมีย ( 20 ก.พ. – 26 มี.ค. 2014) ครั้งนั้นดัชนี S&P500 สหรัฐได้รับผลกระทบน้อย -0.27%, ดัชนีหุ้นยุโรปลดลงต่ำสุด -7.12% และดัชนีหุ้นรัสเซียกระทบมากสุด -20% เนื่องจากถูกมาตรการคว่ำบาตร ในครั้งนี้หากรัสเซียบุกยูเครนคาดจะส่งผลให้ราคาน้ำมัน, เงินเฟ้อสูงขึ้น และกดดันเศรษฐกิจโลกอยู่ระหว่างฟื้นตัวจาก Covid-19

ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดโลกจากความกังวลในสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แม้จะมีแรงพยุงบางส่วนจากหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันและถ่านหินที่ยังอยูในระดับสูง รวมถึงแรงเก็งกำไรในหุ้นที่มีข่าวเกี่ยวกับการทำเหมืองเหรียญคริปโต

สำหรับปัจจัยในประเทศ วันนี้ติดตามการประชุม ครม. โดยเฉพาะเรื่องม.การแก้ไขน้ำมันแพง(แนวทาง-ปรับลดภาษี)

หุ้นแนะนำ BCP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท) ปัจจัยหนุนมาจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในช่วงฤดูหนาว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากภาวะอุปทานตึงตัว ส่งผลบวกต่อการรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมัน รวมถึงธุรกิจ E&P ที่มีการส่งก๊าซและน้ำมันดิบเข้าสู่ยุโรปจะได้รับประโยชน์จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยผลประโยชน์ดังกล่าวเพียงพอที่จะช่วยชดเชยธุรกิจการตลาดที่ถูกกระทบจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการ และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล

หุ้น TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) ประเมินกำไรสุทธิในช่วง 4Q64 ที่ 1,992 ลบ.(+36.64%YoY, +2.83%QoQ) รับแรงหนุนจาก ยอดขายกลุ่มธุรกิจ Frozen & Chilled Seafood ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการที่สหรัฐฯ และยุโรป Reopening ด้านกลุ่มธุรกิจ Petcare & Value-added คาดสามารถกลับมาดำเนินงานได้ปกติภายหลังจาก 3Q64 ประสบปัญหา มีการปิดโรงงาน Songkla Canning ราว 2 สัปดาห์

สำหรับการดำเนินงานในช่วงถัดไปยังมีแรงหนุนจาก 1.โมเมนตัมการขยายตัวธุรกิจ Petcare & Value-added 2.แนวโน้มการฟื้นตัวของ Red Lobster ในปี65 3.การนำกลุ่มธุรกิจเข้าตลาด (TFMในปี64, i-tail ในปี65) และ 4.การลงทุนในธุรกิจที่มีความน่าสนใจ Alternative Protein, เครื่องปรุงรส(RBF*), ผลิตภัณฑ์สุขภาพ(Zeavita ร่วมกับ IP*, ZEA ร่วมกับ Thai Bev) , บรรจุภัณฑ์(ร่วมกับ SFLEX*)