บลจ.กสิกรไทยชวนเพิ่มพอร์ต หุ้นไทยถูก FIFจีน-อินเดียน่าสน

บลจ.กสิกรไทยมองวิกฤตเป็นโอกาส นักลงทุนที่ถือกองทุนตราสารหนี้ ควรเพิ่มกองทุนหุ้น ระบุราคาถูก ส่วนกองทุนต่างประเทศ FIF แนะนำ จีน-และอินเดีย พื้นฐานเศรษฐกิจโต ส่วนหุ้นไทยฟื้น บวก 7 จุด แค่รีบาวด์ตามต่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติขายทั้ง 3 ตลาด หุ้น-ตราสารหนี้-ฟิวเจอร์ รวม 7,291 ล้านบาทภายในวันเดียว

ตลาดหุ้นวันที่ 6 ก.ย.2561 ระหว่างวันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ร่วงแรงเกือบ 10 จุด สุดท้ายเด้งขึ้นมาบวก 7.57 จุด ปิดที่ระดับ 1,693.94 จุด หลังจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านหลายแห่งปรับตัวขึ้น เช่น ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 92.60 จุด หรือ 1.63% ปิดที่ 5,776.10 จุด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยหนักต่อเนื่อง 2,554 ล้านบาท รวมถึงฟิวเจอร์ส 2,788 ล้านบาท และตราสารหนี้ 1,949 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7,291 ล้านบาท

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนและประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า ความผันผวนที่เข้ามากระแทกตลาด โดยมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง ก็เป็นโอกาสในการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่มีเพียงกองทุนตราสารหนี้ ก็น่าจะซื้อกองทุนหุ้นเก็บไว้บ้าง เพราะราคาไม่แพง เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อต้นปี ดัชนีอยู่แถว 1,900 จุด ตอนนี้ลงมาเคลื่อนไหว 1,600 จุดเศษ แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายของการปรับตัวขึ้นก็ตาม มองว่าน่าสนใจ เศรษฐกิจเติบโต และในช่วงปลายปี จะมีเงินกองทุน LTF เข้ามาลงทุนประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท

ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ราคาที่ปรับตัวลง ทำให้มีความหวั่นไหวบ้าง แต่หากลงทุนระยะยาว เชื่อว่าน่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงได้เช่นกัน

สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) แม้มีปัจจัยลบในหลายประเทศ รวมถึงค่าเงินรูปีของอินเดียอ่อนค่าลงมาก มองว่านักลงทุนน่าจะเริ่มสะสมได้แล้ว โดยเฉพาะ FIF ที่ลงทุนในจีนและอินเดียยังน่าสนใจ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานเรื่องเศรษฐกิจขยายตัวสูง

ทางด้านน.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเป็นบวกสำหรับการลงทุนในหุ้นไทย แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น จากความกังวลในเรื่องวิกฤติค่าเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่อ่อนค่าลง รวมถึงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัญหาทางการค้าของสหรัฐฯ โดยคงเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,800 จุด บนปัจจัยพื้นฐานที่ระดับพี/อีปี 2562 ที่ 15 เท่า

“มีหลายปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2561 คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะเติบโต 8% ในปี 2561 และ 10% ในปี 2562 เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุน รวมถึงโครงการลงทุนภาครัฐ ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ภายหลังกฎหมายอีอีซีออกมาอย่างเป็นทางการ “น.สธิดาศิริ กล่าว

นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ โดยในประเทศไทยกองทุนเน้นการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทค้าปลีก และอาคารสำนักงานที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคง สำหรับประเทศสิงคโปร์ กองทุนเน้นลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจที่พื้นตัว อาทิ กลุ่มอาคารสำนักงาน กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มโรงแรม และกลุ่ม Data Center