HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นเช้านี้ลบ 6.70 จุด ปรับฐาน หวั่นเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแรงถึง 7.5% สูงกว่าคาด แต่มองหุ้นลงเป็นจังหวะซื้อ ให้น้ำหนักหุ้นที่มีแรงซื้อจากต่างชาติก่อน ช่วงสั้นให้แนวรับ 1,690 แนวต้าน 17,20 จุด
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 ก.พ.2565 ปรับตัวลง ณ เวลา 10.05 น. อยู่ที่ระดับ 1,696.30 จุด ลดลง 6.70 จุด หรือ -0.39% มูลค่าซื้อขาย 10,264.06 ล้านบาท
บล.เคทีบีเอสที มองตลาดวันนี้ปรับฐาน จากความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่เป้าหมายดัชนีฯ รอบนี้ยังมองไว้ที่ 1720 จุด การที่ราคาหุ้นลงมายังเป็นจังหวะซื้อ โดยให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ไว้ก่อน
ตัวเลขเงินเฟ้อ ของสหรัฐฯเดือน ม.ค.ที่สูงขึ้น 7.5% จากที่คาด 7.3% และมาจากค่าบริการทางการแพทย์ที่สูงเกินคาด เงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาก กดดันให้เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่เคยคาดการณ์
นักลงทุนสหรัฐฯตกใจ และขายหุ้นทั้ง Value และ Growth ออกมาทั้งคู่ ขณะที่พันธบัตรที่ตอบสนองมากที่สุด คือ อายุ 2 ปี ที่ปรับจาก 1.36% เป็น 1.58% ภายในวันเดียว และ Bond Yield อายุ 10 ปี ขึ้นแตะระดับ 2.0% อีกครั้ง คาดมีผลกระทบมาถึงตลาดหุ้นเอเซีย รวมทั้งไทย แต่น่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หุ้นเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร คือ หุ้นที่ราคาขึ้นมามาก และหุ้นที่อิง เทคโนโลยี
นักลงทุนต่างประเทศ ยังเดินหน้าซื้อหุ้นในตลาดเอเซีย วันนี้แรงซื้ออาจแผ่ว แต่คาดหลังหายตกใจ จะกลับมาซื้อหุ้นต่อ สำหรับปัจจัยภายในของไทยวันนี้ นายกฯ นั่งประชุม ศบค. คาดมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้น ด้าน รมว.คลัง จะมีการพูดถึง new normal ของธุรกิจประกัน และประเด็นการเมือง (ยุบสภาฯ) เริ่มถูกพูดในสื่อต่างๆ มากขึ้น
หุ้นที่พบว่านักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อมากที่สุดวานนี้ (10) 5 ลำดับแรก คือ KBANK, PTTEP, SCB, PTT และ ADVANC
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SET Index มีแนวโน้มลงระยะสั้นหากรอบ 1,690+- จุด ตามบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบ และเม็ดเงินที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง หลังสหรัฐฯประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค. ออกมาสูงกว่าตลาดคาด +0.6% M-M +7.5% Y-Y ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประเมิน โดยปัจจัยตลาดคาด FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือน มี.ค. ด้วยความน่าจะเป็น 89% และขึ้นครบ 1% ในการประชุมเดือน มิ.ย. จึงประเมินว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ Growth ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER สูงยังคงถูกกดดัน
ขณะที่กลุ่ม Domestic และ Value Play จะปรับตัวได้แข็งแรงกว่า โดยเฉพาะแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะเริ่มฟื้นตัวชัดขึ้นใน 2H22 หนุนการเติบโตระยะยาวและหนุนกระแสเงินทุนคาดยังไหลเข้า กลยุทธ์ยังเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดมีกำไรไตรมาส 4/64 แข็งแกร่ง และ PER/PBV ไม่สูง กลยุทธ์ เลือกลงทุนในหุ้น Value และมีแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/64 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นวันนี้ TTB “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.80 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร +27% Y-Y จากประโยชน์หลังการควบรวมเต็มปีทั้งการ Cross Selling รวมถึงลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเป็นธนาคารเดียวที่ ROE จะสูงเหนือระดับก่อน โควิด-19 และฐานลูกค้าที่เป็นรายย่อยมากขึ้นทำให้ Loan Yield สูงและมีโอกาสเกิดการ Rerate Valuation ขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน TTB ซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งมองว่าต่ำเกินไป พร้อมให้ แนวรับ 1.38-1.31 บาท แนวต้าน 1.47-1.50 ถัดไป1.70 บาท
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
KBANK อยู่ที่ 165.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -0.90% มูลค่าซื้อขาย 1,189.01 ล้านบาท
BBL อยู่ที่ 146.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ -1.35% มูลค่าซื้อขาย 556.43 ล้านบาท
GULF อยู่ที่ 50.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -0.99% มูลค่าซื้อขาย 393.98 ล้านบาท
AOT อยู่ที่ 64.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ -1.53% มูลค่าซื้อขาย 359.55 ล้านบาท
ADVANC อยู่ที่ 227.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ -0.87% มูลค่าซื้อขาย 320.79 ล้านบาท