บลจ.กสิกรฯ มองบวกหุ้นไทย-อสังหาฯ ปันผล K-PROP กว่า 380 ล.

บลจ.กสิกรไทยเชื่อหุ้นไทยผันผวนระยะสั้นตามความกังวลวิกฤติค่าเงินตลาดเกิดใหม่ การขึ้นดอกเบี้ยและสงครามการค้า เชื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นหนุนตลาดหุ้น คงเป้าดัชนี 1,800 จุด ส่วนกองทุนอสังหาฯ ได้รับผลดีเศรษกิจฟื้นตัว พร้อมจ่ายปันผล K-PROP ปันผลกว่า 380 ล้านบาท

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น จากความกังวลในประเด็นเรื่องของวิกฤติค่าเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) ที่อ่อนค่าลง รวมถึงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัญหาทางการค้าของสหรัฐฯ โดยบลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเป็นบวกสำหรับการลงทุนในหุ้นไทย

ทั้งนี้ โดยอิงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในส่วนของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงสัญญาณโครงการต่างๆ จากภาครัฐฯ ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ภายหลังกฎหมายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2561 โดยปัจจุบันยังคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ในระดับ 8% ในปี 2561 และ 10% ในปี 2562 ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,800 จุด บนปัจจัยพื้นฐานที่ระดับ P/E ปี 2562 ที่ 15 เท่า

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทยยังเตรียมจ่ายเงินปันผลของกองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ (K-PROP) ในอัตรา 0.42 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2561 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 กันยายนนี้ รวมทั้งสิ้น 386.63 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-PROP หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 1.92 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา (1 ก.ย. 60 – 31 ส.ค. 61) กองทุนจ่ายปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 1.14 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 10.81%ต่อปี ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุน K-PROP ในช่วง 6 เดือน และ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 7.65% และ 12.32%ต่อปี สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3.82% และ 7.32%ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 61)

“บริษัทยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ โดยในประเทศไทยกองทุนเน้นการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทค้าปลีก และอาคารสำนักงานที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคง สำหรับประเทศสิงคโปร์ กองทุนเน้นลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจที่พื้นตัว อาทิ กลุ่มอาคารสำนักงาน กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) กลุ่มโรงแรม และกลุ่ม Data Center”น.ส.ธิดาศิริ กล่าว