ดาวโจนส์ปิดร่วง 543 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดรอบ 2 ปี

HoonSmart.com>> ดาวโจนส์ปิดลบ 543 จุด หลังกลับมาซื้อขายจากปิดทำการในวันจันทร์ บอนด์ยีลด์พุ่งเหนือ 1.85% แตะระดับสูงสุดรอบ 2 ปี เทขายหุ้นเทคโนโลยีและผิดหวังผลประกอบการกลุ่มธนาคาร ด้านตลาดหุ้นยุโรปร่วง ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 18 มกราคม 2565 ปิดที่ 35,368.47 จุด ลดลง 543.34 จุด หรือ 1.51% หลังกลับมาซื้อขายจากที่ปิดทำการในวันจันทร์ เป็นผลจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่นักลงทุนผิดหวังผลประกอบการกลุ่มธนาคาร

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,577.11 จุด ลดลง 85.74 จุด, -1.84%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,506.90 จุด ลดลง 386.86 จุด, -2.60%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับขึ้นไปเหนือ 1.85% สูงสุดในรอบ 2 ปีก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาที่ 1.83% และสูงกว่า 1.77% ในวันศุกร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ปรับขึ้นไปเหนือระดับ 1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีเป็นตัวชี้วัดว่าธนาคารกลางวหรัฐฯ(เฟด)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นไปจุดไหน

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง โดยหุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ลดลง 4.1% หุ้นแอมะซอนลดลง 2% หุ้นเมสลาลดลง 1.8%
หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 2.4% หลังประกาศซื้อบริษัทวิดีโอเกม Activision Blizzard ด้วยมูลค่าเงินสด 68.7 พันล้านดอลลาร์ หุ้น Activision Blizzard บวก25.9%

เดวิด เลฟโควิตซ์ จาก UBS Global Wealth Management กล่าวว่า แรงขายที่ต่อเนื่องยังมาจากประเด็นดอกเบี้ย และการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี มีนัยสำคัญต่อตลาด

เคที บอสต์ยานซิก จาก Oxford Economics กล่าวว่า ตลาดพันธบัตรยังคงปรับขึ้นต่อเนื่องและรับการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้นของเฟด จากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่และการสื่อสารถึงการแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด”

“เส้นทางนโยบายที่เข้มงวดของเฟด จะทำให้มูลค่าลดลง เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจในวงกว้างน่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากเฟดพยายามทำให้อุปสงค์อ่อนตัวลง”

หุ้นกลุ่มธนาคารลดลงหลังจากโกลด์แมน แซคส์ รายงานกำไรในไตรมาส 4 ปี2564 ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 23% จากกาปรรับขึ้นผลตอยแทนให้พนักงานด้านตลาดทุน

หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลงราว 7% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 3.4% หุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ ลดลง 4.9% หุ้นเจพีมอร์แกน ลดลง 4.2% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 2.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 2.4%

ในสัปดาห์นี้ 35 บริษัทใน S&P 500 ซึ่งรวมถึงแบงก์ออฟอเมริกา กำหนดรายงานผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมา 33 บริษัทรายงานผลการดำเนินงานแล้วซึ่งราว 70% มีกำไรดีกว่าคาด

นักลงทุนหันไปสนใจผลการดำเนินงานและประเด็นที่เกี่ยวกับบริษัทอย่างน้อยชั่วคราวจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
เฟด สาขานิวยอร์ก รายงานดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) เดือนมกราคมลดลงมาที่ -0.7 จาก 31.9 ในเดือนธันวาคมและ ต่ำกว่า 25.5 ที่นักวิเคราะห์คาด

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเดือนมกราคมลดลง 1 จุด สู่ระดับ 83 จากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 2.2% จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่ง รวมทั้งการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบและสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในตะวันออกกลาง

แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนรัฐบาลในอังกฤษเพิ่มขึ้นมาที่to 1.222%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.79 จุด ลดลง 4.72 จุด, -0.97%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,563.55 จุด ลดลง 47.68 จุด, -0.63%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,133.83 จุด ลดลง 67.81 จุด, -0.94%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,772.56 จุด ลดลง 161.16 จุด, -1.01%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 85.4ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 87.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2014