CIVIL ขาย 4.60 บ. เข้า SET 27 ม.ค. ท็อปรับเหมาฯขนาดกลาง อัตรากำไรสูง

HoonSmart.com>>”ซีวิลเอนจีเนียริง”เปิดขาย IPO  19-21 ม.ค. ราคา 4.60 บาท ช่วงสูงสดของนักลงทุนสถาบัน P/E 16 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ยที่ 20 เท่า ชูจุดขายโครงการก่อสร้างหลากหลาย ใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพงานเสร็จเร็ว มีโรงงานวัสดุก่อสร้างเอง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นสองหลัก-อัตรากำไรสุทธิดีกว่าค่าเฉลี่ย  Backlog  16,800 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 3 ปี เล็งเพิ่มงานเอกชนจาก 5% เป็น 20% เพิ่มพันธมิตร สร้างการเติบโตมั่นคง

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง (CIVIL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น  คิดเป็น 28.6% ของทุนเรียกชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 4.60 บาท พาร์ 1 บาท ระหว่างวันที่ 19-21 ม.ค.นี้ จัดสรรขายนักลงทุนสถาบันสัดส่วน  60% หรือจำนวน 120 ล้านหุ้น ในช่วงราคาสูงสุด คิดเป็น P/E 16 เท่า ขณะที่อุตสาหกรรมมีค่าเฉลี่ย 20 เท่า คาดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณวันที่ 27 ม.ค.นี้

” CIVIL เป็นบริษัทรับเหมาชั้นนำระดับกลาง และเป็นเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้าง สถาบันชอบผู้บริหาร เชื่อมั่นว่ารู้เรื่องจริง ทำจริง มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำงานเฉพาะทางโครงสร้างพื้นฐานที่มีโอกาสเติบโตสูง เหมาะกับสถานการณ์ เมื่อเกิดวิกฤต รัฐบาลจะมีการลงทุน  ทำให้ยังมีโครงการออกมาอีกมาก  และบริษัทต่อยอดงานภาคเอกชน เช่นกลุ่มปตท.  พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขยายธุรกิจ สร้างความมั่นคงของรายได้และผลักดันการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีความยั่งยืนในอนาคต”นายพิเชษฐกล่าว

ส่วนวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ นำไปลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์  ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินมีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในการเข้าบริหารโครงการก่อสร้างรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซีวิลเอนจีเนียริง(CIVIL) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาและงานก่อสร้างแบบครบวงจร ที่มีประสบการณ์ความชำนาญมากกว่า 50 ปี จากการพัฒนาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศมาแล้วมากกว่า 1,000 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่ งานสร้างถนน งานรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง งานท่าอากาศยาน เขื่อนและอ่างเก็บน้ำ นิคมอุตสาหกรรมและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เป็นต้น โดยส่งมอบผลงานก่อสร้างที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ภายใต้งบประมาณที่กำหนด บางโครงการเร็วกว่ากำหนด จึงได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานราชการขึ้นทะเบียนเป็นผู้รับเหมาขั้นสูงสุดในด้านต่างๆ สะท้อนศักยภาพบริหารโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ  พัฒนาคุณภาพชีวิต ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเติบโตยั่งยืน

” CIVIL มีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน มีบุคลากร เครื่องจักรอุปกรณ์และเป็นเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนวัสดุส่วนก่อสร้าง 11 แห่ง เช่น ชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป และได้รับการต่ออายุสัมปทานบัตรการทำเหมืองหินปูน ช่วยบริหารต้นทุนโครงการที่ดี และที่สำคัญได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโครงการ ทำให้เกิด Economy of Speed ลดระยะเวลาและต้นทุน มีงานก่อสร้างหลากหลายทั้งประเภทและขนาดโครงการ อาทิ งานใหญ่ระดับ 1,000 ล้านบาท และ 50-60 ล้านบาท สร้างสมดุลของรายได้ให้เอื้อต่อการสร้างผลตอบแทนที่ดี  และนับตั้งแต่มีข่าวเรื่องบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีคนเสนอตัวเข้ามาเป็นพันธมิตร ซึ่งบริษัทก็ยินดี เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต และยังจะขยายธุรกิจภาคเอกชนจากที่มีสัดส่วน 5% มีโอกาสเพิ่มเป็น 20-30% เข้ามาเสริมงานของภาครัฐ และโครงการขนาดใหญ่ที่กว่าจะรับรู้รายได้ต้องใช้เวลา 3-4 ปี  “นายปิยะดิษฐ์กล่าว

นายโกวิท เนื่องสุข ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน CIVIL กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2562 – 2563 ประสบความสำเร็จในการเติบโต แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม โดยมีรายได้รวม 3,210 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 4,130 ล้านบาท  ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวน 3,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวม 2,999 ล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมากกว่า  90% ของรายได้รวม  ณ สิ้นปี 2564 มีงานรอส่งมอบ (Backlog) รวมถึงโครงการที่เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ประมาณ 16,800 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปี

ขณะเดียวกัน ความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรสุทธิยังโดดเด่นสูงกว่าบจ.ในกลุ่มรับเหมา ในปี 2562-2563 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.5% เทียบค่าเฉลี่ยที่ 9.1%  9 เดือนปี 2564 ทำได้ 11.1% เทียบค่าเฉลี่ย 8.0%  ส่วนอัตรากำไรสุทธิ เฉลี่ย  3 ปีอยู่ที่ 4.9% เทียบค่าเฉลี่ย 1.8% งวด 9 เดือนปี 64 ทำได้ 4% เทียบค่าเฉลี่ยเพียง 1% และ ROE ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  ตอกย้ำแนวทางการบริหารเดินมาถูกทาง ทำให้มีกำไรสุทธิในปี 2562 อยู่ที่ 141 ล้านบาท และ 87 ล้านบาทในปี 2563 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 170 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ  4.38%  2.10% และ 4.56% ตามลำดับ