HoonSmart.com>>บล.ไทยพาณิชย์คาดดัชนีหุ้นปี 65 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,750 จุด ค่ากลางอยู่บริเวณนี้ 1,660 จุด กลยุทธ์เล่นสวิง แนะนำ 10 หุ้นเด่น ธุรกิจดั้งเดิม AMATA, GULF, KBANK, LH, ZEN ธุรกิจใหม่ ADVANC, DELTA, ONEE, SECURE, XPG ถ้าหลุด 1,660 เป็นแนวรับ หลีกเลี่ยงท่องเที่ยว คาดโอมิครอนกระทบแค่ไตรมาส 1 เตือน 3 ปัจจัยเสี่ยง เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป จีนปิดประเทศ ซีโร่ โควิด ประเทศยักษ์ใหญ่ขัดแย้งกัน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนปี 2565 ประเมินผลตอบแทนของ SET Index ได้ที่ 5% และ 8% เมื่อรวมเงินปันผล คาดกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะเติบโต 6% ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโต 3-4% ในกรณีเลวร้ายหากไม่สามารถควบคุมการแพร่ะบาดของโควิดโอมิครอนได้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโตลดลงเหลือ 2.6% และกำไรบจ.โอกาสเติบโตใกล้ 0%
แนวโน้มดัชนีตามพื้นฐานเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,750 จุด และค่ากลาง 1,660 จุด ซึ่งเป็นระดับในปัจจุบัน ดังนั้นนักลงทุนต้องอาศัยจังหวะสวิง ในการเลือกหุ้นที่มีการเติบโต และมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจตามเทรนด์โลก
บล.ไทยพาณิชย์แนะนำ 10 หุ้นเด่น แบ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิม ที่คาดว่าผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตเด่น ได้แก่ KBANK, AMATA, ZEN, LH และ GULF รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของโลกยุคใหม่ ได้แก่ DELTA, ADVANC, ONEE, SECURE และ XPG
เหตุผลในการเลือก ADVANC เนื่องจากธุรกิจสื่อสารมีการลงทุน 5G แล้วมีโอกาสสร้างกำไรมาก ธุรกิจยานยนต์ EV กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาถูก มีสตอรี่ ดอกเบี้ยปรับขึ้น เลือก KBANK หุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดราคาไม่แรงในช่วงนี้ เพราะปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่แนวโน้มมีโอกาสปรับขึ้นได้ หลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงของการลงทุน ตอนนี้เริ่มกลับมารับรู้รายได้ เลือก GULF ส่วนนิคมอุตสาหกรรมเลือกหุ้น AMATA และแนะนำ DELTA ให้ความสำคัญเรื่องปัจจัยพื้นฐาน ราคาหุ้นลดลงสะท้อนการออกไปจาก SET 50 แล้ว ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตเพราะเกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด เมตาเวิร์ส ซิเคียวริตี้
เรื่องความเสี่ยง บล.ไทยพาณิชย์มองปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เป็นความเสี่ยงหลัก เรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ เงินเฟ้อไม่น่ากลัว เท่ากับคนที่มองว่าเงินเฟ้อน่ากลัว หากขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป ตลาดไม่ชอบ สถานการณ์โควิด หากรุนแรง จนถึงขั้นปิดเมือง ปิดประเทศเป็นความเสี่ยงของธุรกิจท่องเที่ยวและการเดินทาง ตลาดเริ่มแยกออกระหว่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจจีนเป็นปีที่จะต้องติดตามอย่างมาก เพราะตรงข้ามกับสหรัฐ คือระมัดระวัง ไม่กระตุ้นมาก ไม่เน้นเติบโตมาก นักลงทุนต้องระวัง ถ้าประกาศนโยบาย ซีโร่ โควิด จะต้องปิดประเทศนับเป็นความเสี่ยงหลัก และความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโอมิคอนทั่วไป หากจำนวนผู้ติดเชื้อมากคาดว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ 0.5% จากที่คาดว่าปีนี้เติบโต 3.6-4.0% ก็จะลดลงเหลือ 3% แต่คาดผลกระทบระยะสั้น ไม่เกิน 1 ไตรมาส แต่มีข้อดีทำให้โควิดดีขึ้น เพราะโอคิครอนสร้างภูมิ คนที่ได้รับเชื้อ อาจจะไม่ติดอีก ช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ดีขึ้น สามารถชดเชยในไตรมาส 1 ได้ คือการท่องเที่ยว
แนวโน้มเศรษฐกิจและธุรกิจเติบโตปกติ หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมามีการปรับตัวแล้ว กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (DM) จะชะลอตัว โดย IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 4.5% ส่วนกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง คาดจะเติบโต 5.1% แนวโน้มเศรษฐกิจไทย “มองบวกอย่างระมัดระวัง” ปี 2565 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับมาเติบโต 3.6-4.0% จากที่หดตัวลง -6.1% ในปี 2563 และเติบโต +1.0% ในปี 2564 ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกปี 2565 จะเติบโต 2% และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 8 ล้านคน