หุ้นปีเสือ ฤกษ์ดีเทรด1 แสนลบ. ต่างชาติซื้อ 6 พันล. ลุ้น1,800 จุด Q1

Hoonmart.com>>หุ้นไทยประเดิมวันแรกปี 65 ไปได้สวยตามต่างประเทศ ดัชนีบวก 0.76% วอลุ่มกว่า 1 แสนล้านบาท ต่างชาติโถมซื้อหุ้นใหญ่ต่อ เน้นแบงก์ “ทรีนีตี้” ฟันธง January effect มาแน่ หนุนไตรมาส 1 มีโอกาสแตะ 1,680 และ 1,800 เน้นหุ้นบริโภค-ปันผลสูง  “บล.ทิสโก้” แนะ ม.ค.แนวรับสำคัญ 1,620 จุด แนวต้าน 1,680-1,690 จุด หุ้นเด่น BEC-BJC-DCC-KKP-TPIP-TVO ครึ่งปีแรกแจก ADVANC-BDMS-DTAC-EGCO-KKP-SCB-SPALI-WHA  บล.คันทรี่ชู CPF-BBL 

วันที่ 4 ม.ค.2565 หุ้นโลกสดใส ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขึ้นไปสูงสุด 1,674.19 จุด ก่อนปิดที่ระดับ 1,670.28 จุด บวก 12.66 จุดหรือ +0.76% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง100,014.91 ล้านบาท แรงซื้อมาจากนักลงทุนต่างชาติกลุ่มเดียว 6,148.01 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายต่อ -3,847.37 ล้านบาท และสถาบันไทยขายด้วย 2,179.76 ล้านบาท

ด้านบิ๊กล็อตหุ้นบริษัทเมืองไทย แคปปิตอล (MTC) มีการซื้อขายมากที่สุด 327 ล้านบาท จำนวน 5,525 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 59.25 บาท สูงกว่าตลาดปิดที่ 59 บาท ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกจากการคำนวณดัชนี 50 และ 100 รอบนี้ 1ม.ค.-31มิ.ย.2565 นำโดยบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ปรับตัวลงแรงตามคาด ปิดที่ 400 บาทลดลง 12 บาท หรือ -2.91% และมีการซื้อขายบิ๊กล็อต 550 ล้านหุ้น มูลค่า 224 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 408 บาท

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่นในเอเชีย เป็นรองญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 1.77% นักลงทุนต่างชาติคงเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 2564 โดยให้น้ำหนักกลุ่มธนาคารพาณิชย์อย่างชัดเจน เนื่องจากราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(P/BV) และแนวโน้มกำไรเติบโตในปี 2565 รวมถึงหุ้นค้าปลีกและอาหาร ได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน นำเงินค่าซื้อสินค้ามูลค่า 30,000 บาทมาหักลดหย่อนภาษีได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2565

นอกจากนี้หุ้นท่องเที่ยว และเปิดเมืองเพิ่มขึ้นต่อ นำโดย AOT ปิดที่ 61.75 บาท บวก 0.75 บาทหรือ 1.23% นักลงทุนคลายกังวลผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าประเทศไทยจะพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนเร่งขึ้นก็ตาม

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้   เปิดเผยว่า มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดปรากฎการณ์ January effect จากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เอื้ออำนวย ทั้งสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง เงินทุนไหลเข้าช่วงต้นปีและการซื้อกลับของนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งจะหนุนให้ดัชนีขึ้นต่อได้ คาดไตรมาสแรก มีโอกาสเห็นดัชนีเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,680 จุดในกรณีฐานและระดับ 1,800 จุดในกรณีดีสุด

ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นปี 2565 บนสมมติฐาน EPS ของตลาดปี 2566 ที่ 107 บาท และพี/อี กรณีฐานที่ 15.7 เท่า จะได้ดัชนีที่ 1,680 จุด ส่วนในกรณีดีสุด เทียบเคียงพี/อีที่ 16.8 เท่า และสมมติฐาน EPS เดียวกัน จะได้ระดับดัชนีดีสุดที่ 1,800 จุด หากจะเห็น1,800 จุดนี้ จะต้องเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี

ในทางกลับกัน มองแนวรับดัชนีกรณีฐานที่ระดับ 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับพี/อี 16.8 เท่า และสมมติฐาน EPS ปี 2565 ที่ 96 บาท ส่วนในกรณีเลวร้ายสุด หากเกิดกรณีลบเช่นเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในไตรมาส 1 และรัฐบาลไทยหันกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์คนในประเทศอีกครั้ง ระดับแนวรับที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 1,500 จุด เทียบเท่าพี/อี 15.7 เท่า บนสมมติฐานตัวเลข EPS เดียวกัน

นายณัฐชาต กล่าวว่า ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงแนะนำนักลงทุนให้ถือครองหุ้นไทยเพื่อ Let profit run ได้ต่อไป คาดว่าจะเป็นหนึ่งในประเทศเกิดใหม่ที่ปรับตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ รับการไหลกลับเข้ามาบางส่วนของเงินทุนจากประเทศพัฒนาแล้ว ในฐานะที่เป็นประเทศที่ยังคง Laggard ทั้งในด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและระดับ Valuation ที่ยังอยู่ต่ำ พร้อมทั้งยังไม่มีความเสี่ยงด้านการเข้มงวดของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังแต่อย่างใด

ธีมการลงทุนประจำเดือนมกราคมนี้ แนะนำถือหุ้น 2 กลุ่มเดิมต่อไป คือ 1.กลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ อาทิ KBANK, BBL, BJC, CPALL, HMPRO, DOHOME, COM7, M, ORI, SPALI, SIRI, BEM, BTS, PLANB, MAJOR, VGI, PF&REIT และ 2.กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่มีความเชื่อมั่นเกินกว่า 80% ว่าจะให้ผลตอบแทนรวมเป็นบวกในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ SCC, TISCO, AP, ADVANC, PTT, INTUCH, BBL, LH, GUNKUL, PTTEP, SIRI, SENA, SC, MAJOR, TOG, PSH

กรณีการไถ่ถอนกองทุน LTF ประเมินว่าในเดือนม.ค.จะมีมูลค่าราว 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดแต่อย่างใด เพราะกองทุนต่างๆ น่าจะเตรียมสภาพคล่องไว้รองรับแล้ว เห็นได้จากการขายสุทธิหุ้นช่วงปลายปีกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

ด้านบล.ทิสโก้ นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ กล่าวว่า หุ้นเดือนม.ค.ให้แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,620 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,590-1,600 จุด ขณะที่แนวต้านสำคัญ 1,680-1,690 จุด และแนวต้านต่อไปที่ 1,700 จุด ตามลำดับ หุ้นเด่นได้แก่ BEC-BJC-DCC-KKP-TPIP-TVO ราคาพักฐานลงมาก่อนหน้านี้และมีการจ่ายปันผลดี

แนวโน้มครึ่งปีแรกมีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง คาดจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,550-1,700 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นทะลุ 1,700 จุดแตะระดับ 1,750-1,800 จุดในช่วงครึ่งปีหลัง เป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับสิ้นปี 2565 ที่ 1,720 จุด

” หุ้นปี 2565 ยังน่าลงทุน แต่ต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นตลาดครึ่งปีแรกน่าจะมีโอกาสปรับขึ้นจำกัด และมีโอกาสเกิดความผันผวนได้ง่าย จึงเน้นการลงทุนหุ้นเชิงคุณค่า (Value Stock) และหุ้นปันผลดีสม่ำเสมอฟันฝ่าช่วงเวลานี้”นายอภิชาต กล่าว

สำหรับหุ้นแนะนำช่วงครึ่งปีแรก คือ ADVANC , BDMS , DTAC , EGCO , KKP , SCB , SPALI และ WHA

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4/2564 ของธนาคาร 7 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 2,652 ล้านบาท +43.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและ+7.7% เทียบไตรมาสที่ 3

ในปี 2564 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น ตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 17% โดยมีตลาดหุ้นถึง 21 ประเทศ จากทั้งหมด 48 ประเทศที่อยู่ใน MSCI World Index ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ส่วนหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ 14% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลกที่ 17% และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคเอเชีย แต่รวม 2 ปี (2563-2564)ให้ผลตอบแทนเพียง 5% เทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 34%

บล.คันทรี่ฯคาดหุ้นสัปดาห์แรกของปีอยู่ที่ 1,645 – 1,660 จุด ไวรัสโควิดโอมิครอนมีทั้งบวกและลบ  ไทยพบผู้ติดเชื้อเร่งตัว โครงการช็อปดีมีคืนหนุนค้าปลีก BJC,CPALL,CRC,DOHOME,HMPRO, ILM ร้านอาหาร  CENTEL, M, MINT  ราคาหมูแพงคาดสูง 3-6 เดือน บวกต่อ CPF แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 26 บาท  BBL คาดกำไรไตรมาส 4/64 โตสูงกว่า 165% จากปีก่อน มีเงินปันผล 4.8%

นอกจากนี้การประชุม OPEC+  ตามแผนจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเข้ามาราว 4 แสนบาร์เรล / วัน เชื่อว่าผลกระทบต่อราคาน้ำมันจำกัด แต่หากปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 4 แสนบาร์เรล / วัน จะเป็นลบกับราคาน้ำมัน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ไม่ร้อนแรงจนเกินไปเพื่อให้เฟดยังไม่เร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดจนเกินไป

กลยุทธ์การลงทุนแนะหุ้นได้ประโยชน์จากราคาหมูปรับตัวขึ้น อาทิ CPF,TFG (Laggard จะเป็น CPF) ส่วนนักลงทุนระยะกลางยังแนะถือหุ้นต่อไปได้และอาจสะสมเพิ่มใน Laggard Play อาทิ BBL,BJC, CPALL,M,MAJOR,PTG

ฝ่ายวิจัยธนาคารกรงศรีอยุธยา คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.7% จากปี 2564 ที่เติบโตเพียง 1.2% และมีแนวโน้มที่มูลค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะสามารถกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดได้ในช่วงครึ่งหลังของปี การบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้นจะเติบโตราว 3.6% ภาคส่งออกแม้จะชะลอลงบ้างแต่คาดว่ายังเติบโตได้ 5.0% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่ขยายตัว 2.9% การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโตดีขึ้นเป็น 4.6%

ด้านการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มลดลงจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 แต่ยังมีวงเงินกู้ที่เหลืออยู่กว่า 2 แสนล้านบาท จากพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภาคท่องเที่ยวยังอยู่ในระยะแรกของการฟื้นตัว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 จะอยู่ที่ 7.5 ล้านคน และกว่าจะกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้ที่ 40 ล้านคน อาจต้องใช้เวลาถึงปี 2568 ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศคาดว่าจะสามารถกลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้เร็วกว่าคือในปี 2567 ที่ 160 ล้านทริป จากปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 90 ล้านทริป