บลจ.มองหุ้นไทยปี 65 ผันผวนสูง ชี้เป้าดัชนี 1,750-1,850 จุด ส่องกลุ่มเด่นน่าลงทุน

HoonSmart.com>> 3 บลจ.มองหุ้นไทยปี 65 ผันผวนสูง “เฟดจ่อหั่น QE ขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง โควิดระบาด” ด้านบลจ.ไทยพาณิชย์” ให้เป้าดัชนี 1,800 จุด มองกลุ่มแบงก์ หุ้นได้ประโยชน์ธุรกิจ EV น่าสนใจ ฟาก MFC แนะต้นปีทยอยเก็บหุ้นแบงก์ บริโภคในประเทศ หุ้นปันผลสูง ส่วน “บลจ.กสิกรไทย” ชูกลยุทธ์ลงทุน 1-3 เดือนหน้าเน้นหุ้นที่คาดผลดำเนินงานฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 และปี 65 เพิ่มน้ำหนักกลุ่มสื่อสาร ชอบแบงก์ ค้าปลีก ท่องเที่ยว เฮลธ์แคร์

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผย “HoonSmart” ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2565 มองดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,800 จุด เพิ่มขึ้นประมาณ 9-10% จากปัจจุบัน โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตประมาณ 10% โดยยังต้องติดตามสถานการณ์โอมิครอนที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวชะลอ รัฐต้องใช้ความระมัดระวังการแพร่ระบาดมากขึ้น แต่คงไม่มีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมา

“ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกในปี 2565 ยังชอบหุ้นมากกว่าตราสารหนี้จากทิศทางของอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น แต่ในช่วงแรกตลาดทั่วโลกน่าจะผันผวนมาก จากการปิดประเทศในบางประเทศในยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และยุโรปลด QE แต่คงไม่ถึงกับปรับฐานลงแรงๆ เป็นการเปลี่ยนตัว หมุนกลุ่มเล่นมากกว่า เพราะสภาพคล่องในตลาดยังมีมาก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีน่าจะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ช่วยพยุงตลาดช่วงต้นปี และเมื่อเข้าไตรมาส 2/65 น่าจะดีขึ้นเมื่อโอมิครอนแผ่วลง”นางนันท์มนัส กล่าว

ในช่วงครึ่งปีแรกธัมการลงทุนเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แม้กนง.คงยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยตาม จึงยังมองหุ้นกลุ่มแบงก์ยังน่าสนใจ รวมถึงธีมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งมีหุ้นหลายตัวได้ประโยชน์ ส่วนหุ้นกลุ่มเปิดเมือง ท่องเที่ยว ค้าปลีกและขนส่ง น่าจะกลับมาโดดเด่นในครึ่งปีหลัง เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน

“สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนที่แนะนำในปี 2565 ยังให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทย จึงแนะนำให้จัดพอร์ตกระจายลงทุนไปต่างประเทศ โดยธีมที่น่าสนใจ 3 ธีม ประกอบด้วย 1.ธีมฟื้นตัวจากภายใน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นจีน A-shares 2.ธีมกำไรที่แข็งแกร่ง ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป 3.ธีมการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี”นางนันท์มนัส กล่าว

MFC แนะต้นปีเก็บกลุ่มแบงก์-บริโภคในประเทศ-หุ้นปันผล

นายชาคริต พืชพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในปี 2565 มองเป็นปีที่มีความผันผวนสูงซึ่งนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุน จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ การปรับลด QE แนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูง รวมถึงการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งมีผลต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย จึงมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2565 ไว้ที่ระดับ 1,750-1,800 จุด คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตประมาณ 10-12% เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาด ขณะที่ปัจจัยการเมืองมองมีผลต่อตลาดช่วงสั้นๆ

“ตลาดหุ้นที่มีโอกาสผันผวนสูงตามเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบเป็นคราวๆ ไม่ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยในต่างประเทศหรือสถานการณ์โอมิครอน แต่มองว่าดัชนีคงไม่ได้ปรับฐานลงยาวๆ ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุน ให้ถือเงินสดบางส่วน เพื่อหาจังหวะซื้อในช่วงดัชนีปรับตัวลงมา”นายชาคริต กล่าว

สำหรับการลงทุนในช่วงต้นปีแนะนำกลุ่มแบงก์ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศและหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยเน้นหุ้นที่ราคาไม่แพง ส่วนธีมเปิดเมือง หุ้นท่องเที่ยว หุ้นโรงพยาบาล มองราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง จึงไม่ค่อยโดดเด่นเท่าปี 2564 จึงให้น้ำหนักระดับ Neutral (คงน้ำหนักการลงทึน) ขณะที่โอมิครอนระบาดในต่างประเทศและระยะเวลาการกักตัวก็ทำให้นักท่องเที่ยวยังเข้ามาเที่ยวไทยไม่มาก

อย่างไรก็แต่จากจำนวนฉีดวัคซีนบูสเตอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมียาเม็ดรักษาโควิดน่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ลงได้ไม่เหมือนรอบที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งจากข้อมูลโอมิครอนแพร่ระบาดเร็วแต่อาการป่วยไม่รุนแรงและไม่ได้เสียชีวิตมาก จึงมองว่าในที่สุดสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็ว

นายชาคริต กล่าวว่า สำหรับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่องช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ผ่านมา มองว่าส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากการที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากเหมือนประเทศอื่นๆ ขณะที่การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนที่น้อย จึงมีเงินเข้ามาซื้อหุ้นบางส่วนในตลาดหุ้นที่ราคายังไม่ได้ขึ้นมามาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์ที่มีแรงซื้อเข้ามา อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาดูเม็ดเงินลงทุนต่างชาติว่ายังไหลเข้าต่อเนื่องหรือไม่

“บลจ.กสิกรไทย” ให้เป้า 1,850 จุด ระยะสั้นชูหุ้นผลดำเนินงานฟื้นตัว

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากทางภาครัฐ รวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการเติบโตโดยเฉพาะการบริโภคและใช้จ่ายในปี 2565 อีกทั้งคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2565 ที่ประมาณ 14% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังน่าสนใจ

สำหรับความกังวลโอมิครอนของผู้ลงทุนเริ่มลดลงหลังจากพบว่าอาการป่วยจากสายพันธุ์โอไมครอนไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่ยังถูกจัดเป็นสายพันธุ์ระดับที่น่ากังวล ประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันและการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพลดลงต่อสายพันธุ์นี้ จึงยังต้องรอความชัดเจนจากกลุ่มผู้ผลิตวัคซีนถึงการวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนตัวปัจจุบัน และความเร็วในการปรับปรุงวัคซีน โดยคาดว่าจะเร่งผลิตวัคซีนสูตรใหม่ได้ในต้นปีนี้

ประกอบกับการที่ประเทศต่างๆ มีการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว น่าจะพอควบคุมความรุนแรงจากการระบาดของสายพันธุ์นี้ได้ อีกทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ และการรับมือของประเทศต่างๆ ที่ทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่น่าจะรุนแรงเหมือนช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยรวมถึงทั่วโลกน่าจะยังมีความผันผวนจนกว่าจะมีความชัดเจนต่อสถานการณ์นี้

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้าเน้นลงทุนหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 และปี 2565 ตามการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจในประเทศและการเปิดประเทศ และในระยะ12 เดือนข้างหน้า หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เน้นลงทุนหุ้น ที่คาดว่าเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยและได้ประโยชน์จากแนวโน้ม Secular trend หรือเทรนด์ของโลกที่จะเห็นชัดเจน ใน 5-10 ปีข้างหน้า และเน้นลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ

สำหรับหุ้นน่าสนใจและปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุน ได้แก่ “กลุ่มสื่อสาร” หลังมีดีลใหญ่ ทรูและดีแทค น่าจะทำให้ ภาพรวมอุตสาหกรรมเติบโตและการแข่งขันด้านราคาลดลง รวมถึง “กลุ่มแบงก์” หลายแบงก์เริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจและลงทุนเทคโนโลยี เป็นโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม เช่นเดียวกับ “กลุ่มค้าปลีก” ที่มีการซินเนอร์ยี่ในกลุ่ม สร้างการเติบโตรองรับแข่งขันบนช่องทางออนไลน์ ขณะที่ “กลุ่มท่องเที่ยว และเฮลธ์แคร์” ยังได้ประโยชน์หลังการเปิดประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะทยอยกลับเข้ามา

ส่วนปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อไป ระยะสั้นยังคงต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ประสิทธิภาพของวัคซีน วิธีการรักษาและความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาด ส่วนระยะกลางถึงยาว จับตาปัญหาติดขัดด้านห่วงโซ่อุปทานโลก (Supply Chain Disruption) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางประเทศแกนหลักของโลกซึ่งอาจเพิ่มความผันผวนใหักับตลาดโลก ค่าเงิน และการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุนในระยะถัดไป

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นไทย แนะนำกองทุน K-STAR ที่ได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่ปัจจัยพื้นฐานดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกลยุทธ์จับจังหวะเข้าสะสมหุ้นที่น่าสนใจในช่วงตลาดผันผวน เพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รูปแบบ คือ K-STAR-A(A) แบบสะสมมูลค่า และ K-STAR-A(R) แบบรับซื้อคืนอัตโนมัติ หรือหากต้องการลดหย่อนภาษีก็สามารถลงทุนใน K-STAR-SSF

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ น.ส.ธิดาศิริ คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยในปี 2565 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมองเป้าหมายสิ้นปีที่ระดับ 1,850 จุด

อ่านข่าว

3 กูรูส่องตลาดหุ้นปีเสือ 2565 “โควิด-เลือกตั้ง-เงินเฟ้อ”กดดัน

บลจ.กสิกรไทยคาดหุ้นปี 65 แตะ 1,850 จุด ชู 3 ธีมลงทุนรับเศรษฐกิจฟื้น

บลจ.ยูโอบีมองหุ้นไทยปี 65 เทิร์นอะราวด์ ชู 3 ธีมอนาคตโดดเด่นทั่วโลก

กองทุนบัวหลวงแนะจับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจปี 65