ส่องหุ้นสดใส Q1/65 ลุ้น1,700 จุด แนะถือข้ามปี แจกหุ้นเด่น

HoonSmart.com>> บล.เมย์แบงก์ฯ คาดดัชนีไตรมาส 1/65 แกว่งตัวปรับขึ้น กรอบ 1,600-1,700 จุด ลุ้นภาคท่องเที่ยวฟื้น เงินบาทกลับมาแข็ง หวังเงินทุนไหลเข้า ระวังปัจจัยเสี่ยง แรงขาย LTF-เศรษฐกิจจีนชะลอ-การเก็บภาษีเทรดหุ้น หุ้นเด่น ASK-GULF-SCC-SPRC- WICE บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ยกหุ้น 3เดือนแรกดีสุดของปี ดัชนีทะลุ 1,680 จุด บล.หยวนต้า ให้แนวต้าน  1,700 จุด ได้การบริโภคหนุน ชอบ KBANK-SCB-AH-NYT-CPALL 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  แนวโน้มตลาดหุ้นในไตรมาส 1/2565 คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวปรับขึ้น กรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,600-1,700 จุด โดยมีปัจจัยบวกที่ขับเคลื่อนมาจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อีกทั้งการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง

แนวโน้มปี 2565 ประเมินกำไรต่อหุ้นของ SET ที่ 94.2 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยคิด P/E Ratio ที่ 18.6 เท่า เทียบเคียงกับระดับค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 5 ปีของ SET +0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด

ขณะที่การฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงมากขึ้น จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนสูงขึ้น ส่วนภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะค่อยๆฟื้นตัว และมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า และทำให้กระแสเงินทุนไหลเข้า

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง ได้แก่ 1.แนะนำเพิ่มความระมัดระวังในช่วงต้นปี จากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฎิทิน (ซื้อเมื่อปี 2559) หากประเมินเม็ดเงินจากยอดซื้อสุทธิในปี 2559 ประมาณ 22,000 ล้านบาท มีโอกาสถูกไถ่ถอน (Redemption) เป็นแรงกดดันระยะสั้นต่อการลงทุน แต่มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ตลาดย่อตัว

2.เศรษฐกิจจีนชะลอตัว คาดเติบโต+5.2% เทียบกับปี 2564 ที่ +8% แรงกดดันจากทั้งประเด็นโควิด-19 , มาตรการรัฐฯที่เข้มงวดมากขึ้น ผสานความเสี่ยงบริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่ของจีนที่ผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจลามไปยังบริษัทอื่นได้ แต่ภาครัฐฯก็พยายามอัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการลด RRR ดังนั้นผลกระทบโดยรวมอาจยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

3.การเก็บภาษีหุ้น มาตรการเก็บภาษีสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม โดยปัจจุบันรัฐฯกำลังศึกษา 2 แนวทางคือ 1) ภาษีการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) และ 2) ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital gain Tax) โดยในเบื้องต้นคาดว่าภาครัฐฯมีโอกาสเก็บภาษีการขายหุ้น (ข้อ1) เนื่องจากใช้ข้อมูลในการจัดเก็บภาษีได้ง่ายกว่าภาษี

“กำไรจากการขายหุ้น จะค่อนข้างยากต่อการคิดต้นทุน โดยหากใช้จริงคาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนเนื่องจากทำให้ต้นทุนของนักลงทุนมากขึ้น และน่าจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดชะลอตัวลง” นายวิจิตร กล่าว

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวดี ตามเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น ถึงแม้จะอยู่ในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงเป็นหุ้นปันผลสูง ที่เป็นเป้าหมายนักลงทุนสถาบันช่วงต้นปี มีหุ้นเด่นประจำไตรมาส 1 ได้แก่ ASK ราคาเป้าหมาย 55 บาท , GULF ราคาเป้าหมาย 48 บาท , SCC ราคาเป้าหมาย 520 บาท , SPRC ราคาเป้าหมาย 11.20 บาท และ WICE ราคาเป้าหมาย 22.10 บาท

ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มองตลาดหุ้นไทย ในช่วงไตรมาส 1 คาดว่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุด เนื่องจากความคาดหวังการฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2564 ทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และความคาดหวังการฟื้นตัวของ GDP ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่ไม่จำกัดการเดินทาง รวมถึงการควบคุมของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ สะท้อนจากประเทศไทยมีเสถียรภาพที่สุดในเอเชีย ทำให้โอกาสจะเป็นแหล่งพักเงินของนักลงทุนต่างประเทศ และมีโอกาสค่อนข้างมากที่จะเห็น Fund Flow เข้ามาในช่วงไตรมาสแรก

ทั้งนี้การลงทุน ประเมินแนวต้านแรกที่คาดว่าตลาดจะสามารถไปถึงได้บริเวณ 1,680 จุด และแนวต้านที่สำคัญ คือ 1,750-1,780 จุด โดยช่วง 3 เดือนแรก แนะนำหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง ซึ่งในทุกๆปีจะเห็นการเคลื่อนไหวของหุ้นปันผลดีค่อนข้างโดดเด่น แนะนำ TISCO, LH, ADVANC และINTUCH รวมถึงหุ้นบางตัวได้ประโยชน์จากดอกเบี้นขาขึ้น และได้ประโยชน์จากอุปโภคและบริโภคในประเทศฟื้นตัว จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แนะนำ BAM, CRC และHMPRO ส่วนหุ้นปลอดภัย กระจายความเสี่ยงพอร์ตแนะนำ BGRIM และGPSC

สำหรับไตรมาส 2/2565 เริ่มเปลี่ยนทิศทางจะค่อยๆลดปัจจัยบวกลงมาจากดีในไตรมาสแรก  เนื่องจากทั่วโลกจะเข้าสู่ยุคของดอกเบี้ยขาขึ้นทั้งเร็วและแรง ซึ่งตลาดจะเริ่มตอบรับข่าวก่อนการขึ้นดอกเบี้ย 2-3 เดือน หรือจะเริ่มเห็นตลาดตอบรับข่าวเชิงลบในช่วงไตรมาส 2 ประกอบกับความผันผวนจากเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง อาจจะส่งผลให้ตลาดผันผวนได้

นอกจากนี้ความเสี่ยงต่างๆที่ยังมีอยู่ อาทิ โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ความตึงเครียดในเชิงภูมิภาค สภาพอากาศที่แปรปรวน อัตราเงินเฟ้อถ้ายังอยู่ในระดับสูง อาจจะส่งผลให้การใช้มาตรการใหม่ๆเกิดขึ้น รวมถึงนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐที่ตึงตัวมากขึ้น หรือ การลดขนาดของงบดุล

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไตรมาส 1 มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยการบริโภคฟื้นตัว แนวต้านอยู่ที่ 1,700 จุด แนวรับที่ 1,550-1,580 จุด ส่วนการไถ่ถอน LTF มองว่าไม่ได้กระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งปกติกองทุนก็ขายต่อวันประมาณ 1,000 ล้านบาทอยู่แล้ว

“เรื่องการขึ้นภาษีขายหุ้น ทางบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ยังไม่ขอให้ความเห็น แต่ก็อาจจะส่งผลให้ปริมาณซื้อขายลดลง หลังจากต้นทุนการขายปรับตัวขึ้น จากการเก็บภาษีของภาครัฐ” นายณัฐพล กล่าว

หุ้นเด่นประจำไตรมาส 1/2565 แนะนำ หุ้นกลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ KBANK และSCB หุ้นกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า AH และNYT หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศฟื้นตัว แนะนำ CPALL