ดาวโจนส์ลบ 106 จุด จับตาเฟดประชุม

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดแดนลบ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 106 จุด นักลงทุนจับตาผลประชุมเฟด หลังเงินเฟ้อ พ.ย.เพิ่มขึ้น 9.6% สูงกว่าตลาดคาด ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับลดลง ราคาน้ำมันลดเล็กน้อย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 14 ธันวาคม 2564 ปิดที่ 35,544.18 จุด ลดลง 106.77 จุด หรือ -0.30% จากการร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลังจากการรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,634.09 จุด ลดลง 34.88 จุด, -0.75%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,237.64 จุด ลดลง 175.64 จุด, -1.14%

กระทรวงแรงงานรายงาน ดัชนีราคาผู้ผลิต( PPI)เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 9.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลเดือนพฤศจิกายน 2010 และสูงกว่า 9.2% ที่นักวิเคราะห์คาด และเมื่อเทียบรายเดือนเพิ่มขึ้น 0.8% สูงกว่า 0.5% ที่นักวิเคราะห์คาด

การรายงานเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด มีขึ้นในช่วงการประชุมของธนาคารกลาง(เฟด)ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวานนี้และจะสิ้นสุดในวันนี้ พร้อมกับเผยแพร่ผลการประชุมพร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยรายไตรมาสและนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดจะแถลงข่าวในวันเดียวกัน

เงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด เป็นสัญญานว่าในปีหน้าเงินเฟ้อจะยังคงสูงต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนจับตาการให้ความเห็นเกี่ยวกับการเร่งยุติโครงการซื้อพันธบัตร จากเดิมที่กำหนดว่าจะเลิกโครงการเดือนมิถุนายน 2022 รวมทั้งประเมินว่าเฟดจะควบคุมเงินเฟ้อในเชิงรุกอย่างไร

จอห์น เทรย์นอร์ ผู้บริหารของ People’s United Advisors กล่าวว่า คงต้องจับตาดูว่าเฟดจะแถลงด้วยน้ำเสียงอย่างไร แต่ที่ชัดเจนคือเร่งการลดซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้น แต่การที่เร่งเร็วเกินไปและการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะกระทบตลาด

ผลสำรวจของซีเอ็นบีซีพบว่า นักลงทุนและนักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะยุติโครงการการซื้อพันธบัตรในเดือนมีนาคม และขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนปีหน้า

คริส เซนเยค จากฝ่ายกลยุทธ์ของ Wolfe ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เฟดจะต้องดำเนินการอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาด

“ประธานเฟด พาวเวลล์ มีงานสื่อสารที่ยากมากรออยู่ข้างหน้าเขาในบ่ายวันพรุ่งนี้ เราก็มีความเห็นสอดคล้องกับส่วนใหญ่และคาดว่าเฟดจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรในเดือนมีนาคม/เมษายน และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม” และ “หากประธานเฟดพาวเวลล์เน้นย้ำว่านโยบายการเงิน ยังคงมีความยืดหยุ่น ตลาดก็เชื่อว่าเฟดจะเข้ามาดูและดำเนินนโยบายเพื่อไม่ให้ตลาดร่วงลงแรงเกินไป (Fed put) หากออกในทิศทางเข้มงวด ก็อาจกลายเป็นหายนะของตลาดเหมือนเดือนธันวาคม 2018”

หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 3.26% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ลดลง 1.43% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.09% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 1.32% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ลดลง 1.26%

ไมค์ วิลสัน จากMorgan Stanley กล่าวว่า การร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2018
หุ้นไฟเซอร์เพิ่มขึ้น 0.62% หลังเปิดเผยผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายซึ่งยืนยันว่า ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% และยังมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์โอไมครอน

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 2.1% นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนหลังจากมีผู้เสียชีวิตรายแรกจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนใน

สหราชอาณาจักรและจีนพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนรายแรก ขณะที่ยังเกาะติดการประชุมของธนาคารกลางในประเทศหลักในสัปดาห์นี้ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BoJ) ธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) และธนาคารกลางสหภาพยุโรป(ECB)

ในสหราอาณาจักรการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 257,000 ตำแหน่ง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 469.56 จุด ลดลง 3.97 จุด, -0.84%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,218.64 จุด ลดลง 12.80 จุด, -0.18%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,895.31 จุด ลดลง 47.60 จุด, -0.69%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,453.56 จุด ลดลง 168.16 จุด, -1.08%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 56 เซนต์ ปิดที่ 70.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 69 เซนต์ ปิดที่ 73.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล